26.7 C
Nakhon Sawan
วันพฤหัสบดี, กันยายน 28, 2023
spot_img

ฟังคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ กับคนรุ่นลูก แสดงทัศนะจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

วันที่ 11 – 12 กันยายน 2566  เป็นวันที่รัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ คุณเศรษฐา ทวีสิน ได้มาแถลงนโยบายว่า 4 ปีจากนี้ไป…..

“จะทำอะไร ? ทำอย่างไร ? แล้วประชาชนจะได้อะไร ?!?”

ผมมีเวลานั่งฟัง  ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ฟังได้ประมาณ 50%  ของเวลาในการแถลงทั้งหมด

สรุปว่า…การแถลง ก็คืองานแถลง ไม่อยากจะเอาไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลอื่นๆที่ผ่านมา

แต่สิ่งที่เราคนออกเสียงเลือกตั้งต้องขบคิดก็คือ การโฆษณาหาเสียง ของพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง  กับเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว  สิ่งที่พูดตอนหาเสียง กับการเขียนนโยบายมาแถลง

เราต้องทำใจว่า…”มันต่างกัน มันไม่เหมือนกัน”

และต้องหัดจดจำเอาไว้ว่า…พรรคการเมือง และ นักการเมืองนั้นคบยากจริงๆ

พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เข้าบริหารประเทศ ต้องยอมรับว่ามันเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 60 ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลผิดเพี้ยนไป ตั้งยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ

ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่ฉบับนี้  ‘พรรคก้าวไกล’ กับ  ‘พรรคเพื่อไทย’  ก็คงจะได้เป็นรัฐบาล   คณะรัฐมนตรีก็คงจะมีหน้าตาเป็นอีกแบบหนึ่ง  คงไม่มีพวกกินค่าฮั้วประมูลงานหลวง  ได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีหรอก

บ้านเมืองของเรา เรื่องการโกงกินเงินหลวง  ผมว่าตั้งแต่ยุครัฐบาลที่เพิ่งจะพ้นไป  มีมากจริงๆ ไม่อย่างนั้น…ข่าวอย่างที่เกิดขึ้นที่นครปฐม ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

นครปฐม มีอย่างไร นครสวรรค์ ก็มีอย่างนั้น เช่นกัน !

ครับ…เมื่อพรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นรัฐบาล  ทั้งที่ได้คะแนนสูงสุดมากกว่าทุกพรรค  ต้องลงมาเป็นฝ่ายค้าน  แล้วก็ต้องเจอกับพรรคเพื่อไทย  ที่เคยจับมือกันมาก่อน  ทั้งสมัยที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในรัฐบาลก่อน และเคยจับมือจะจัดตั้งรัฐบาลเมื่อการเลือกตั้งจบใหม่ๆ

ทุกอย่างจึงเป็นที่น่าสนใจว่า  เมื่อฝ่ายหนึ่งไปเป็นรัฐบาล  อีกฝ่ายต้องมาเป็นฝ่ายค้าน อะไรจะเกิดขึ้น

สิ่งที่ได้เห็นในวันแถลงนโยบาย  มันเหมือน…”คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ กับ คนรุ่นลูก”  มาโต้แย้ง  มาถกเถียงกัน

ผมวันนี้…อายุมากแล้ว ก็ขอพูดอย่างคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก  ก็อยากจะนำประสบการณ์ชีวิตของตัวเองมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า  คนเราต่างรุ่นกันมันต่างวิธีคิดจริงๆ

พรรคเพื่อไทยล้วนแต่เป็นคนมีประสบการณ์ทั้งชีวิตและการทำงาน  ก็คิดอย่างคนมีความเกี่ยวข้องกับคนอื่น  มีประโยชน์เอื้อกันมา…จะคิดจะทำอะไรก็ต้องเกรงอกเกรงใจคนโตๆ  ที่ทำมาหากินมาด้วยกัน ประเภท…

“ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”

ส่วนพรรคก้าวไกลเป็นคนเกิดใหม่  ยังไม่เคยให้หรือได้รับบุญคุณจากใคร  จึงไม่จำเป็นจะต้องไปเกรงอกเกรงใจใคร  จะคิด จะพูด จะทำอะไร  ก็ต้องให้มันสะใจ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งสิ้น

การพูดการจาของคนสองวัยจึงต่างกัน

พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ใหญ่ เมื่อต้องมาปะทะกับคนรุ่นลูก รุ่นหลาน  จึงออกจะเสียเปรียบ เพราะตอนหาเสียง  พูดเพื่อเอาคะแนน  จะพูดดีๆก็คงคิดว่าแพ้พรรคก้าวไกล  ก็เลยพูดอะไรแรงๆตามพรรคของคนรุ่นใหม่ไป   เพราะถ้าไม่ทำคะแนนก็จะเสียไป

หลังเลือกตั้ง  ผลออกมาว่าแพ้คนรุ่นใหม่อย่างพรรคก้าวไกล  ก็เลยเป็นความลำบากใจ เมื่อต้องมาเป็นรัฐบาล

การแถลงนโยบายจึงเกิดคำครหาว่า…”ไม่ตรงปก”  คือตอนหาเสียงพูดอย่างหนึ่ง   พอมาเป็นรัฐบาล  กลับพูดอีกอย่างหนึ่ง   กลายเป็นคนแก่พรรคเก่า “ตระบัดสัตย์” ในสายตาของคนรุ่นใหม่

เนื้อหาของการแถลง คงไม่ต้องเอามาพูดกัน  แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่า  คนสองวัยคิดต่างกัน  การแสดงออกต่างกัน

มันเลยทำให้เรามานั่งคิดว่า เราคนแก่  จะอยู่กับคนรุ่นลูก รุ่นหลาน  ใครต้องเป็นฝ่ายอดทน อดกลั้นมากกว่ากัน  ในการคิด การพูดและการกระทำ

บ้านเมืองเรา  เราก็อยากเห็นคนต่างวัยทำงานร่วมกัน ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกัน  ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

เป็นการ…”รวมพลัง เพื่อสร้างชาติ” ให้เข้มแข็ง พร้อมที่จะออกไปสู้กับโลกภายนอก

‘คนแก่’  คนเคยมีประสบการณ์  ก็อย่าหลงอดีต อย่าภูมิใจกับความสำเร็จในอดีต เพราะกาลเวลา  สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันต่างกันกับอดีตไปแล้ว

‘คนรุ่นใหม่’  ก็อย่าทรนงตน ว่ามีความรู้ดีจริง  แต่ประสบการณ์  อาจจะเรียนไม่ทันกันเพราะต้องอาศัยเวลา

อดีตในบางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องระวังไม่ให้ย้อนกลับมาเกิดในปัจจุบัน ดังนั้นก็ต้องคิด ต้องฟังคนแก่ๆกันบ้าง

อย่างไรเสียประเทศชาติก็ยังต้องการทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาว  มาร่วมมือกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง

ประชาชนคนที่รอรับผลการกระทำของคนที่มีหน้าที่  ก็อย่าไปถือหางใครให้มากกว่าใครในสมรภูมิการบริหารประเทศ

บ้านเมืองจะได้เดินทางไปสู่เป้าหมายตามวัตถุประสงค์   คือ

 

“มั่นคง  มั่งคั่ง  ยั่งยืน”

………………………………………

บทความก่อนหน้านี้รู้แล้วบอกต่อ
บทความถัดไปKTIS สนับสนุนสายตรวจ …

ติดตามเราที่

149แฟนคลับชอบ
spot_img

ข่าวลาสุด