สังคมไทยต้องการ “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเบื้องต้น ส่วนความขยัน อดทน ยังเป็นเรื่องรอง
เพราะถ้าประชาชนพลเมืองเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ สุจริต อยู่ในกมลสันดาน ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้น มีความคิดอ่านที่ดี เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เป็นคนดี
คำว่า “คนดี” คือคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต มีความคิดถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีศีลธรรมประจำใจ ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ไม่มุ่งร้ายต่อสังคม มีจิตใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อทั้งต่อตนเอง ผู้คนรอบกายและสังคม
กอปรกับได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ พระ นักบวช ผู้ทรงศีล ผู้เปี่ยมด้วยศีลทั้งกายและใจ
บุตร – ธิดา ของประชาชนพลเมืองผู้เป็นสมาชิกในครอบครัว ในโรงเรียน ในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศ ย่อมจะต้องเป็น “คนดี” โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
แต่…เพราะสังคมไทยในบางส่วน บางเวลา บางยุคสมัย ไร้ความต่อเนื่องในการอบรมกุลบุตร-กุลธิดาให้เป็น “คนดี” อย่างต่อเนื่อง
อยู่ในบ้านก็ขาดการอบรมบ่มนิสัยจากบุพการี เพราะต่างไม่มีเวลา ด้วยต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน
หวังจะพึ่งพาให้ครูบาอาจารย์อบรมบ่มนิสัย ก็พึ่งไม่ได้เพราะครูบาอาจารย์ที่ถูกลดศักดิ์ศรีด้วยคำว่า “ผู้สอน” ต่างต้องเอาตัวให้รอดจากการทำรายงานๆๆ หรือต้องทำ “ผลงาน” เพื่อการเลื่อนขั้น เลื่อนระดับทางวิชาการ เพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น เพื่อเงินประจำตำแหน่ง ซึ่งก็คือยศฐาฯ บรรดาศักดิ์ ในวงการศึกษา
นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะหันหน้าไปหาใคร ให้อบรมจริยธรรม ศีลธรรม นอกจาก “พระ?”
แต่พระในปัจจุบันหาใช่ “พระคุณเจ้า” ผู้เป็น “เนื้อนาบุญ” ที่ควรจะอบอุ่นใจ เลื่อมใสและไว้วางใจได้เสียทั้งหมด เพราะอลัชชี เดียรถีย์ ที่ซุ่มซ่อนกายอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็มากมายประดุจใบไม้ในป่าประดู่ลาย ที่สามารถทำร้ายคฤหัสถ์ทั้ง ทางร่างกาย ความคิด จิตใจได้อย่างร้ายกาจ…ไม่น่าเชื่อ
แล้วมนุษย์หน้าเนื้อที่ในอดีตอื้อฉาวพราวพร่างไปด้วยเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น โกงกินงบประมาณบ้านเมืองอย่างหน้าด้านๆ ตาใสๆ แต่อาสาเข้ามาบริหารบ้านเมืองในวันนี้ จะมีหลักประกันใดว่าจะไม่โกงบ้านโกงเมืองอีกเป็นรอบที่ 3,4,5
เพียงคำว่า “ผมรวยแล้ว ผมไม่โกง” …หยั่งงั้นหรือ ?
บก.