เมื่อปี 2526 ถึง 2534 ผมไปทำมาหากินอย่างลุ่มๆดอนๆอยู่ในดินแดนเมืองน่าน
ได้ย่างเหยียบเข้าเขตแคว้นแดนน่านในฤดูที่ ‘น่านหนาว’
ได้สัมผัสความเหน็บหนาวที่เย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกดำ รู้สึกแสนสุขที่ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายไปตากอากาศเสาะหาความเย็นยะเยือกจากยอดดอยใดๆในฤดูหนาว เหมือนที่หนุ่มๆสาวๆและนักท่องเที่ยวยุคนี้นิยมไปเยือน
ครั้นผ่านฤดูกาลหน้าหนาวก็ย่างเข้าฤดูร้อนซึ่งร้อนตับแลบและมีหิมะโปรยปรายประกอบ จนไม่สามารถตากเสื้อผ้า ตากมะม่วงแผ่นมะม่วงกวนได้อย่างมีความสุข เพราะหิมะดำที่โปรยปรายเป็นสายฝนลงมาทุกเวลาเช้าสายบ่ายค่ำดึก เป็นเถ้าถ่านจากใบไม้ใบหญ้าจากการเผาป่าเผานาเผาไร่
ละอองขี้เถ้าสีดำสนิทของเศษใบไม้ใบหญ้าที่ลอยฟุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากอำเภอท่าวังผา เชียงกลาง ทุ่งช้าง นาน้อย นาหมื่น เวียงสา ฯลฯ ต่างพากันลอยละล่องฟ่องฟ้า ร่วงลงมาสู่พื้นแผ่นดินในอำเภอเมืองน่านและอำเภอภูเพียง แช่แห้ง (อำเภอเกิดใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน) อย่างพร้อมเพรียงกัน
ตามถนนรนแคม อาคารบ้านเรือนของชาวอำเภอเมืองน่าน ซึ่งน่าจะได้ประสบพบพานในทุกอำเภอ จะระดะไปด้วยเศษขี้เถ้าใบไม้ใบหญ้าสีดำสนิท ซึ่งเป็นผลผลิตจากการเผานาเผาป่าเผาไร่ของชาวเขาชาวดอย และชาวพื้นราบในทุกช่วงฤดูร้อนฤดูแล้งของทุกปี
เสื้อผ้าที่ตากไว้ตามราวลวดจะแห้งเร็วรวดด้วยความร้อนของสภาวะอากาศ แต่จะดาษดาไปด้วยรอยดำๆของเถ้าถ่านใบไม้ใบหญ้าที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าทุกวารวันโดยไม่เลือกเวลา
ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้กลางแจ้ง ต้องสะบัดต้องปัดผ้าผ่อน ก่อนที่จะพับเก็บเข้าไว้ในเคหาในยามเย็น
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือคุณภาพของอากาศในฤดูเผาป่า ในยามที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า จะเห็นละอองหิมะดำโปรยปรายเป็นสายจากฟ้าสู่ดินเป็นภาพที่เจนตาของชาวประชาเมืองน่าน
ทว่าอากาศที่ปวงประชาหายใจเข้าไปในปอดทุกวารวัน ยิ่งเลวร้ายกว่าหิมะดำทุกเวลาทุกนาทีทุกวี่วัน จนกว่าจะหมดฤดูกาลเผาป่าในฤดูร้อน
อากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟกลิ่นใบไม้ไหม้ กลิ่นฟืนติดไฟฟุ้งอยู่ในอากาศรอบกายทุกเวลาเช้าสายบ่ายเย็นค่ำดึกดื่นเที่ยงคืนรุ่งสาง
กลิ่นควันไฟในอากาศในเมืองน่าน ไม่เคยจืดจางร้างราไปให้คิดถึง มีแต่จะเข้มข้นขรึมขลังดังกับว่าชาวประชาชื่นชมหรือนิยมก็ไม่ปาน
แต่ก็ต้องจำใจสูดดมหรือหายใจเอาอากาศที่ฟุ้งตลบด้วยกลิ่นควันไฟจากการเผาป่านาไร่ในทุกอำเภอของเมืองน่านนคร เข้าไปในปอดตลอดฤดูเผาป่า
เพราะตัวอำเภอเมืองน่าน ตั้งอยู่ตรงใจกลางพื้นที่ ที่เป็นแอ่งกระทะ ทำให้ควันไฟเถ้าถ่านจากการเผาผลาญป่า เผานาฌาปนกิจไร่ ม้วนตัวพรั่งพรูลงสู่ตัวจังหวัดเป็นศูนย์กลางของพื้นที่
ชาวเมืองน่านจึงต้องจำใจหายใจเอาควันพิษเข้าไปในปอดตลอดฤดูร้อน
ทุกฤดูเผาป่า ประชาชนพลเมืองชาวน่านจะมีอาการคล้อยตามกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกฉานซ่านเซ็นเป็นอื่นโดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยอาการแสบปอด
เป็นความทุกข์ที่ไม่สามารถจะหลบลี้หนีได้พ้น โดยเฉพาะคนจนๆที่ไม่มีห้องหับในอาคารบ้านเรือนที่ปิดสนิท และติดตั้งเครื่องปรับอากาศเครื่องกรองอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศ
ทางราชการไม่สามารถสกัดกั้นการเผาๆๆๆๆของราษฎรและเกษตรกรให้อยู่หมัดได้ เพราะพื้นที่ท้องนาป่าเขาลำเนาไพรในเมืองน่าน กว้างขวางกว้างไกล เกินกำลังของบรรดาข้าราชการที่มีสำนึกมโนธรรมตามหน้าที่ จะติดตามห้ามปราม ตามสกัดกั้นจับกุม ควบคุมมือเผามาลงโทษตามกฎบ้านระบิลเมืองได้ง่ายๆ
เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นข้าราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นในเมืองน่านหรือเมืองไหนๆ ต่างก็ไม่จริงจังจริงใจกับการบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัดศักดิ์สิทธิ์
ต่างก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตนไปอย่างหน้าชื่นตาบานตลอดมา
อัตราการเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คนด้วยโรคทางเดินหายใจในแต่ละปีในแต่ละจังหวัดในภาคเหนือจึงสูงลิ่ว โดยรัฐบาลหรือข้าราชการนักการเมืองประชาชนไม่เคยตระหนักถึงอันตรายในประเด็นนี้
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ประกาศ เรียกร้อง วิงวอน ร้องขอ ข่มขู่ให้เกษตรกรและมวลมหาประชาชน เลิกเผา งดเผาตอซังฟางข้าว เผาไร่เผาสวนเผาขยะมูลฝอยเผาไร่อ้อยเผา… ฯลฯ
ก็ดำเนินไปอย่างแกนๆ ทำไปตามหน้าที่ กำชับกันไปเป็นพิธี แต่ไม่มีการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ ไม่มีการจับกุมคุมขังผู้เผานาป่าเขาไร่สวนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ให้สังคมได้เห็นได้รับรู้ได้กลัวเกรง
ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะจัดการแต่ปลายเหตุด้วยการซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรกล ยานยนต์เพื่อฉีดน้ำดับไฟ เพิ่มจำนวนพนักงานดับไฟป่าซึ่งบางทีหาตัวตนไม่ได้ แต่งบประมาณถูกจัดถูกใช้ไปจนเกลี้ยงเกลาทุกปีไป
หน่วยงานราชการไม่ได้มีความสุขกับการบริหารพล่าผลาญงบประมาณในการแก้ไขวาตภัย อุทกภัยเท่านั้น
แต่อัคคีภัยในท้องไร่ท้องนาป่าเขาก็เปรียบเสมือนขนมหวานของข้าราชการนักการเมือง
ไทย…ตลอดมา !!!
—————————————