ท่านสีจิ้นผิง เลขาธิการพรรคฯได้แนะนำเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่ตีพิมพ์ในหนัง สือพิมพ์ประชาชนรายวัน
ท่านกล่าวว่า : เมื่อคืนได้อ่านเจอเรื่องสั้น 《山果》 “ซานกว่า” ที่แชร์ในกลุ่มเนท ได้อ่านถึงสองรอบ ยังไม่อยากจะกดผ่านไป ประทับใจมาก ควรค่าแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่าประเทศจีนยังมีบางส่วนมีความยากจนถึงเพียงนี้ ประทับใจในความใจบุญที่เปี่ยมด้วยเมตตาจิตของผู้คน จนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี มันช่างเรียกน้ำตาเหลือเกิน
มันคือเรื่องสั้นอะไรหรือ!
ชื่อเรื่อง : 《山果》”ซานกว่า”ความหมาย “ผลไม้ป่า”
ผู้ประพันธ์ : 蒋依 เจี่ยงอี
ผู้แปล : แสวง เครือวิวัฒนกุล
เนื้อเรื่อง :
ฉันมักจะโอดครวญว่าชีวิตไม่ค่อยจะสมหวัง ที่คิดเช่นนี้ความจริงก็ไม่น่าจะถูกตำหนิ “คนมองหาที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” มันเป็นสัจธรรม เป็นเรื่องของธรรม ชาติ มาตรฐานของความสมหวังอยู่ที่ไหน? จะเปรียบเทียบได้อย่างไร กับใคร?
ไม่นานมานี้ฉันได้เดินทางไกล ระหว่างทางพบเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้สิ่งที่ครุ่นคิดมาโดยตลอด อะไรคือมาตรฐานความสมหวังของชีวิต รู้สึกจะมีจิตสำนึกใหม่เกิดขึ้น
ฉันออกเดินทางไกลจากปักกิ่งไปอำเภอ “หยวนโม๋ว มณฑลยูนนานด้วยรถไฟขณะที่รถไฟเดินทางถึงตะเข็บรอยต่อระหว่างมณฑลเสฉวนและมณฑลยูนนาน มองจากหน้าต่างรถไฟ เห็นสองข้างทางล้วนเป็นป่าเขาไม่มีผู้คนอยู่อาศัย
รถไฟได้จอดที่สถานี 沙窝 “ซาอวา” 20 นาที เพื่อรับผู้โดยสาร มองไปนอกหน้าต่าง ฉันเห็นเด็กชายหญิงกลุ่มหนึ่ง อายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี บนหลังต่างแบกเข่งใบใหญ่ที่สานด้วย เปลีอกไม้ไผ่ ต่างแย่งชิงกันขึ้นรถไฟอย่างสุดชีวิต เข่งที่แบกอยู่หลัง เป็นอุปสรรคแก่พวกเขาที่จะเบียดขึ้นรถไฟพอสมควร
โบกี้ที่ฉันน้่งมีเด็กหญิงคนหนึ่งเบียดขึ้นมาอยู่ข้างที่นั่งรูปร่างผอมมาก เธอปลดเข่งที่จุของเต็มเข่งลงจากบ่าด้วยความทุลักทุเล เสร็จแล้วเธอใช้ฝ่ามือปาดเหงื่อบนใบหน้า สองมือรวบผมที่ปกหน้าไปไว้ข้างหลัง เผยโฉมสวยน่ารักของเธอออกมา แต่ซีดเซียวดั่งสีผัก มองดูก็รู้ว่าขาดสารอาหาร เสื้อแขนครึ่งท่อนที่เธอสวมตัดด้วยผ้าพื้นเมือง เต็มด้วยรอยปะทั้งหน้าหลัง กางเกงก็ขาดวิ่น ขากางเกงสองข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน เต็มด้วยรอยปะเช่นกัน เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นเด็กมาจากครอบครัวยากจน
บนรถมีผู้โดยสารจำนวนมาก เด็กหญิงดูเกรงใจที่มาเบียดถูกฉัน เธอมือหนึ่งจับอยู่พนักเก้าอี้ พยายามดันตัวออกห่าง ฉันอยากให้เธอนั่งลง แต่เก้าอี้นั่งอยู่สามคนก็เบียดกันอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มอีกคน ฉันจึงพยายามขยับตัวเพื่อให้เธอมีที่ยืนสบายขึ้น อีกมือช่วยเธอจับเข่งไว้ เพื่อจะได้ไม่กีดขวางทางเดิน เธอยิ้มให้ฉันด้วยความขอบคุณ เปิดฝาเข่งล้วงเอาผลไม้ที่แท้คือ “ลูกมันฮ่อ”เต็มกำมือยัดใส่กระเป๋าฉัน ฉันพยายามปฏิเสธ แต่ไม่เป็นผล เธอมุ่งมั่นมาก
ต่อมาเด็กหญิงค่อยๆคุ้นเคยกับฉัน จากภาษาถิ่นที่ฟังยาก ในที่สุดฉันก็ฟังเข้าใจได้ว่า เธออายุย่างสิบสี่แล้วบ้านอยู่ไกลจากสถานีรถไฟหลายสิบลี้ รถยนต์เข้าไปไม่ถึงหมู่บ้าน จะขายของป่าทีไร ก็ต้องใช้เข่งแบกเดินเท้าเปล่าเข้ามาขายในเมือง ปีนี้ต้นมันฮ่อที่บ้านออกผลดกมาก แม่กำลังป่วย ต้องการเงินรักษา พ่อจึงให้เธอนำลูกมันฮ่อมาขายในเมือง เธอออกเดินทางจากบ้านเมื่อเที่ยงคืนวานซืน เดินทางตลอดวันจนมืด เมื่อคืนนอนพักอยู่ในถ้ำกลางทาง เช้านี้ตื่นแต่เช้าเพื่อมาให้ทันขึ้นรถไฟขบวนนี้ ของขายหมดแล้วต้องเดินเท้าอีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืนจึงจะกลับถึงบ้าน
“จากบ้านเดินทางไกลถึงเพียงนี้ เธอไม่กลัวหรือ?” ฉันถาม
“หนูมีเพื่อน ตอนแย่งกันขึ้นรถไฟเราแยกจากกันชั่ว คราว เดี๋ยวลงจากรถไฟเราก็พบกันอีก” เธอพูดด้วยความมั่นใจ
“เดินทางมาตั้งไกล มันฮ่อเข่งหนึ่งจะขายได้เงินสักเท่าไร” ฉันถาม
“หักค่าตั๋วรถไฟไปกลับแล้ว คงเหลือสักสิบห้าหกหยวนมั้ง” เธอบอก
“ยังไม่พอค่าอาหารหนึ่งมื้อเลย” ผู้โดยสารนั่งข้างฉันพูดขึ้น
“เรามีอาหารแห้งนำมาจากบ้านกัน” เธอตอบทันที
“อาหารแห้งอะไร?” ผู้โดย สารปากมากคนนั้นถามต่อ
“หนูกินไปแล้วส่วนหนึ่ง เหลืออีกส่วนห่อไว้ที่ใต้เข่ง พ่อบอกว่ารอให้ขายของหมดแล้วค่อยกิน”เธอบอก
“ถามว่าอาหารแห้งอะไร”ผู้โดยสารข้างตัวไม่ยอมลดละ
“ขนมย่างเป็นแผ่นทำด้วยหัวมัน” เธอตอบ ผู้โดยสารรอบข้างฟังแล้วเศร้า
ขณะนั้น มีเสียงประกาศ จากลำโพงโบกี้ รถไฟจะล่าช้า 30 นาที ฉันถือโอกาสรถไฟจอดอยู่ระหว่างทางบอกผู้โดยสารในขบวนรถ
”เด็กหญิงคนนี้มีมันฮ่อป่าขาย อร่อยดี พวกเราช่วยกันซื้อหน่อย” มีคนถามว่า “ขาย ชั่งละเท่าไหร่?”
“อาม้าบอกว่าขาย 10 ผล 25 เซ็น ลดไม่ได้อีกแล้ว “
ฉันพูดต่อว่า “ถูกจัง ที่บ้านเราขายชั่งละตั้ง 8 หยวน”
ผู้โดยสารต่างมารุมซื้อ ฉันช่วยเด็กนับจำนวนผล
เธอเก็บเงิน ชั่วครู่เดียว มันฮ่อขายไปครึ่งเข่ง เธอบรรจงรวบรวมเศษเหรียญเก็บไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
ไม่นานรถไฟมาถึงสถานี เด็กหญิงเตรียมตัวลงรถไฟ ฉันช่วยเธอยกเข่งใส่บ่า แล้วนำเสื้อกางเกงสีถั่วแดงชุดใหม่ใส่ไว้ในเข่ง บอกเธอว่า
“เป็นเสื้อกางเกงชุดใหม่ที่ฉันซื้อจะนำไปฝากหลานสาว มอบให้เธอนำไปใส่ที่บ้านหนึ่งชุด” เด็กหญิงเอียงคอมองด้วยความดีใจ ส่งยิ้มให้ฉันแสดงความขอบคุณ
ขณะนั้นมีแรงงานชาวนาที่โดยสารมาในโบกี้เดียวกันสี่คน นั่งเล่นโป๊กเกอร์มาตลอดทาง คนหนึ่งถือเงิน50 หยวนยื่นมือมาแต่ไกลยัดใส่มือเด็กหญิงพูดว่า “น้องเล็กพวกเรามีสัมภาระติดตัวเยอะ ไม่สามารถซื้อมันฮ่อของน้องได้จริงๆ เงินเล็กน้อยนี้ให้เธอซื้อยาให้แม่” เด็กหญิงร้องให้ออกมา หน้าแดงก่ำ เธอไม่รู้จะกล่าวคำขอบคุณอย่างไร
เด็กหญิงเบียดลงจากรถไฟแล้วไม่เดินจากไปทันที เธอเดินไปที่หน้าต่างรถไฟที่นั่งของแรงงานชาวนา ตะโกนเรียกคุณปู่…คุณปู่ เธอไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร ได้แต่ร้องให้ ความจริงแรงงานชาวนาอายุก็เพียงสี่สิบกว่า เรียกคุณปู่ดูจะไม่สมกับวัย แล้วเธอก็หันมาที่หน้าต่างฉัน ตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “คุณยายคะ….คุณยาย หนูชื่อ ‘ซานกว่า’ค่ะ เสื้อที่คุณยายให้ หนูจะยังไม่ใส่ หนูจะเก็บไว้ใส่ตอนหนูแต่งงานคะ”
รถไฟค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานี เด็กน้อยยังยืนอยู่ที่เดิม ฉันมองจนเธอและสถานีลับจากสายตา “ซานกว่า….ซานกว่า” เด็กหญิงน้อยซื่อๆไร้เดียงสาชื่อ ”ซานกว่า” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังเวียนวนอยู่ในสมองไม่จางหาย ฉันครุ่นคิด ครุ่นคิดชีวิตชองฉันเทียบกับเด็กหญิง ครอบครัวของเขา มันช่างห่างไกลกันดั่งฟ้ากับดิน สิ่งที่ฉันครุ่นคิดตลอดมา อะไรคือมาตรฐานความสมหวังในชีวิต ที่เลือนลางไม่มีคำตอบ ค่อยๆปรากฎภาพที่ชัดเจนขึ้น และเกิดจิตสำ นึกใหม่ขึ้นมา
——จบ——
หมายเหตุ:
เรื่องสั้นที่แปลส่งให้อ่านนี้ต้องเครดิตผู้ประพันธ์ เจี๋ยงอี หนังสือพิมพ์ประชาชนรายวัน และท่านเลขาธิการพรรคฯสีจิ้นผิง ผมแปลด้วยน้ำตา และเชื่อว่าทุกท่านที่มีเมตตาธรรม อ่านแล้วคงน้ำตาร่วงเช่นกัน
อนึ่ง ผลไม้ที่ผมเรียกตามชาวบ้านทางเหนือว่า “มันฮ่อ” ชื่อจริงเรียกอะไร ท่านใดทราบช่วยบอกด้วย จะขอบคุณครับ