ในห้วงฤดูร้อนของทุกปี ชาวไทยจะได้ยินภาคราชการออกมาวิงวอนให้ราษฎรเลิกเผานา เผาป่า เผาวัชพืช เพื่อลดปัญหาหมอกควันพิษที่เคลือบคลุมพื้นที่ประเทศไทยมากมายหลายจังหวัด จนเกือบทั่วประเทศในปัจจุบันนี้
แต่การขอร้องวิงวอนที่น่าสมเพชเวทนาของทางราชการนั้น ไม่เคยได้รับความร่วมมือ ความเห็นใจจากราษฎรซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ซึ่งถามผู้มีสำนึกแต่จำใจเผา และเกษตรกรที่ไร้สำนึก ซึ่งส่วนใหญ่มิได้ไร้การศึกษาไปตามสำนึก แต่มีความสุขใจในการเผาไร่นาเพื่อทำลายตอซังฟางข้าว
และอ้างว่าเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นแมลงศัตรูพืชที่ฉลาดกว่ามนุษย์จะไม่ยอมงอปีกงอเท้าอยู่ให้ถูกเผาในกองไฟ
การเผาขยะ เผาวัชพืช เผาเศษพืชผลในที่โล่งแจ้ง มีความผิดตามกฎหมาย แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีเกษตรกรหรือประชาชนคนใดถูกจับกุมคุมขังลงโทษในฐานความผิดเหล่านี้
เพราะมีแต่กฎหมายที่ “เขียนเสือให้วัวกลัว” แต่ไม่มีผู้ใดจะทำหน้าที่รักษากฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะต่างคนต่างองค์กรต่างหน่วยงานต่างถือว่า “ธุระ…ไม่ใช่!”
ไม่เคยได้ยินข่าวว่าจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดใดเคร่งครัด เคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง สั่งการให้หัวหน้าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการ “เผาฯ” ทั้งหลายเคร่งครัดในหน้าที่ ไม่เคยกำชับให้นายอำเภอระแวดระวังโดยกำกับดูแลให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ของกรมการปกครองในท้องถิ่นเข้มงวดตรวจตาจับกุมผู้เผาขยะ นา ป่า ไร่ ในท้องที่
องค์การบริหารส่วนตำบลที่เกลื่อนกลาดดาษดาอยู่ทุกตารางนิ้วบนผืนแผ่นดินไทย ไม่เคยเอาใจใส่ในการป้องกันการเผาฯ ไม่เคยนำคนเผาฯ มาลงโทษ ได้แต่สั่งรถดับเพลิงเข้าไปดับไฟในกรณีที่ได้รับแจ้งเหตุ
ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรมที่อยู่อาศัยในพื้นที่หลังเวลาเลิกงานกลับเคหสถานบ้านเรือน ต้องตักเตือนหรือแจ้งความนำคนเผาฯ มาลงโทษ
ครูบาอาจารย์ต้องสอนทั้งศิษย์ ผู้ปกครอง พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของศิษย์ให้รู้ดีรู้ชั่วในการเผาฯ ต้องอบรมสั่งสอนกันในทุกโอกาสที่มีเครื่องขยายเสียง
พระเจ้าในวัดวาอารามต้องเทศน์สั่งสอนสาธุชนให้รู้จักผิดชอบชั่วดีในเรื่องการเผาฯ แล้วตามไปสั่งสอนตรงกองไฟในไร่นาสวนให้เกษตรกรเกิดดวงตาเห็นธรรม
ตำรวจต้องกวดขันจับกุมผู้จุดไฟเผาเชื้อเพลิงปริมาณมากๆในสาธารณสถาน ซึ่งสร้างควันพิษให้กับมวลอากาศในพื้นที่
ชาวสาธารณสุขต้องตื่นตัวกระทุ้งรัฐบาลให้เข้มงวดกวดขันเรื่องการเผานา ป่า ไร่ ที่ทำให้สุขภาพทางเดินหายใจของคนไทย เลวร้ายยิ่งกว่าบุหรี่ไฟฟ้าและควันกัญชาของรัฐมนตรี
บก.