ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์…………………………………………………….. @เตรียมพบกับ FTI EXPO 2024: EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน มหกรรมรวมพลังขับเคลื่อนไทยสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พบกับ “Immersive Experience” บอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ดื่มด่ำกับนวัตกรรม พร้อมสัมผัสเทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต จุดประกาย SMEs ให้เติบโต ด้วยเวทีเสริมทักษะทางธุรกิจโดยกูรูมากประสบการณ์ จุใจกับโซนสินค้าคุณภาพจากโรงงานผู้ผลิตกว่า 1,000 ร้านค้าทั่วประเทศและโซนจับคู่ธุรกิจที่ทำให้คุณมีเครือข่ายสู่ตลาดโลก ระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 2567 ณ HALL 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ CALL CENTER กด 1453
……………………………………. @ นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานต่างประเทศ นำคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมต้อนรับ H.E. Mr. Dhan Bahadur Oli เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย และ Mr.Prakash Adhikari อัครราชทูตที่ปรึกษา เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทย-เนปาล ณ ห้องมงคลสุธี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
การหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าทั้งสองประเทศควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันเพื่อพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรม โดยเนปาลต้องการมีความร่วมมือกับไทยในด้านการแลกเปลี่ยนกระบวนการผลิต อาทิ การพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าเกษตรกรรม อุตสาหกรรมอาหาร การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการสร้างแบรนด์ให้สินค้า โดย ส.อ.ท. ยินดีที่จะส่งเสริมกิจกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมทั้งสองฝ่าย และสร้างโอกาสทางการค้าระหว่างภาคเอกชนไทย-เนปาลในอนาคต
ทั้งนี้ ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำบิมสเทค (BIMSTEC SUMMIT) ครั้งที่ 6 ในเดือนกันยายน 2567 โดยมีผู้นำกลุ่มประเทศ BIMSTEC เข้าร่วมการประชุมฯ นั้น ทางเนปาลและไทยเห็นควรที่จะใช้โอกาสจากความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือบิมสเทค เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนให้เป็นรูปธรรมต่อไป
BIMSTEC (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sector Technical and Economic Cooperation) หรือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ เป็นกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคในอนุทวีปเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา ไทย และภูฏาน จัดตั้งขึ้นเพื่อต้องการให้ BIMSTEC เป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ
……………………………………. @นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 89.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 87.2 ในเดือนมิถุนายน 2567 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ตามการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและยา เครื่องสำอาง ขณะที่การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นและส่งผลดีต่อสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วงโลว์ซีซั่นของภาครัฐ
ในเดือนกรกฎาคม 2567 ยังมีปัจจัยลบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งยังกดดันการบริโภคในประเทศ เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในประเทศและยอดส่งออกรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน 2567) ที่หดตัวร้อยละ 24.16 และ 1.85 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ ขณะเดียวกันในด้านการส่งออกชะลอตัวลงโดยเฉพาะสินค้าคงทนประเภทเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าระวางเรือและค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มต่างๆ (Surcharge)
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,323 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 66.8 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 58.7 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 37.9 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 61.2 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 60.6 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 57.1 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 93.4 ในเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet แต่อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังห่วงกังวล ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของภาคการส่งออก ขณะที่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
- เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อลดการใช้พลังงาน รวมทั้งส่งเสริมระบบบริหารจัดการพลังงานในภาคขนส่ง อาทิ สนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานและลดต้นทุนในอุตสาหกรรม SME (ENERGY POINTS 3)
- เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการกำหนดดูแลผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ
- เสนอให้ภาครัฐกำหนดเงื่อนไขการซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้า Made in Thailand ใน โครงการ Digital Wallet เพื่อสร้างโอกาสและทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในธุรกิจของผู้ประกอบการไทย
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ www.fti.or.th/ids ส.อ.ท. มุ่ง “เสริมสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand)”
……………………………………………………. @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” (Innovation ONE) เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก โดย 1 ปีที่ผ่านมา โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ได้พิจารณาการสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการมากกว่า 360 ล้านบาท ภายในงานได้รับเกียรติจากนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิด พร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าววัตถุประสงค์ของงาน และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวถึงความร่วมมือ ณ ห้องประชุม 210-211 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในกรอบงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการระยะเวลา 3 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมทั้งที่เป็นสตาร์ทอัพและ SMEs ให้เติบโตด้วยการนำงานวิจัยและความคิดสร้างสรรค์ไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อย่างยั่งยืน อันนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในภูมิภาค
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ดำเนินการโครงการฯ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ได้ร่วมกับ VC Partners ภาคเอกชน 4 ราย ได้แก่ บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) และบริษัท ออริกจิน เวนเจอร์ส จำกัด ในการสนับสนุนทุนแก่ผู้ประกอบการสายนวัตกรรมทั้งที่เป็นสตาร์ทอัพและ SMEs ซึ่งเราได้พิจารณาการสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการมากกว่า 360 ล้านบาท โครงการไม่เพียงแต่สนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการสายนวัตกรรมเท่านั้น แต่ได้มอบโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเข้าสู่ตลาด ซึ่งครอบคลุมทั้ง 46 กลุ่มอุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ ภายใต้การดูแลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการจะได้มีโอกาสทดลอง ทดสอบ รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีและการทำธุรกิจ รวมถึงได้รับคำแนะนำในการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมและเทคนิคการทำธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ได้สะท้อนให้เห็นว่าแกนหลักที่ทำให้โครงการประสบผลสำเร็จได้นั้น คือ 3C ซึ่งประกอบด้วย Cash เราสนับสนุนเงินลงทุน Connect เราเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อให้เข้าสู่ตลาด และ Coach เราให้คำแนะนำในการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวทางการทำธุรกิจ ผมเชื่อมั่นครับว่า 3C นี้ จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงและพลิกโฉมธุรกิจของผู้ประกอบการไทยไปสู่ธุรกิจที่มีนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน”
ภายในงาน มีการจัดเสวนากับผู้ประกอบการร่วมกับ VC Partner ที่มาบอกเล่าความสำเร็จและประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งประกอบด้วยบริษัท ยูนิฟาร์ส จำกัด บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอ็มยูไอ โรบอติกส์ จำกัด บริษัท เอ็นจินไลฟ์ จำกัด บริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด บริษัท รักษ์ป่าสัก จำกัด และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ ยังมีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับบริษัท วิสอัพ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ร่วมสนับสนุนทุนรายใหม่ โดยบริษัท วิสอัพ จำกัด จะเข้ามาช่วยยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรม ผ่านการใช้เทคโนโลยีของสตาร์ทอัพไทย
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” จะดำเนินการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ทั่วทั้ง 5 ภาค เพื่อเพิ่มการเข้าถึงโครงการมากขึ้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ภาคธุรกิจสตาร์ทอัพและ SMEs ไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
…………………………………. @คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี
โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้จากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ แม้แรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปจะชะลอลงบ้างหลังขยายตัวดีในช่วงก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องติดตามความเสี่ยงด้านต่ำจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 และมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ภาวะการเงินของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบางตึงตัวขึ้นบ้าง คุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลง ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่ปรับลดลงจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพในระยะยาว แต่ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม สามารถดาวน์โหลดข้อมูล ผลการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2567 ได้ที่ https://url.fti.or.th/l/Gd6DCjiNB
…………………………………….. @ศูนย์ AOC ตั้งสายด่วน 1441 ระงับ อายัดบัญชี ได้ทันที‼ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) หรือ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 กว่า 100 คู่สาย ให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาภัยออนไลน์ แบบ One Stop Service ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ได้บูรณาการกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), ธนาคารแห่งประเทศไทย, ผู้ให้บริการมือถือ และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน เศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ซึ่งเป้าหมายของศูนย์ AOC 1441 มีดังนี้
- อายัดบัญชีของคนร้าย ให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกได้ทันทีใน 1 ชั่วโมง
- ติดตามสถานการณ์แก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายในทุกขั้นตอน
- เร่งติดตามการคืนเงินให้ผู้เสียหาย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการจับกุม การดำเนินคดีและขยายผลคดี
หากประชาชนตกเป็นเหยื่อโจรออนไลน์ สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
……………………………………….@ พล.ต.ต.ชาญวิทย์ กนกนาก ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ขอให้ประชาชนชาวจังหวัดนครสวรรค์ร่วมรณรงค์ ช่วยกัน ตัดวงจรยาเสพติด ถ้ารู้ที่ไหนขาย ผู้ใดยุ่งเกี่ยว แจ้งมาได้ที่ 191 หรือที่ ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ 0-5688-2626 เราจะช่วยกันตัดตอนยาเสพติดไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเยาวชนต่อไปได้ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จังหวัดนครสวรรค์ โทร 0-5680-3611……………………………………….@หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล แสงสุข ผู้จัดการสำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์056-245497,081-0428 934 โทรสาร056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti