กฎหมายตราสามดวงกับพระสงฆ์ไทยนั้น เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยสามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่อโคจรสำหรับพระสงฆ์ที่ไม่ควรเกี่ยวข้องทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อเทคโนโลยีเป็นที่อโคจรที่พระสงฆ์ไม่ควรเกี่ยวข้อง เป็นพื้นที่เป็นต้นเหตุหรือเป็นหนทางที่ทำให้พระสงฆ์ประพฤติชั่ว สามารถติดต่อสื่อสารกับพฤติกรรมของฆราวาสได้ง่าย มีความเป็นส่วน เป็นความลับ ผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้การประพฤติชั่วได้ เช่น การเล่นพนัน การมีเพศสัมพันธ์ การเล่นเกม การติดเพศตรงข้าม ยาเสพติด การใช้อิทธิพลในพระศาสนา เป็นต้น
ทำให้พระสงฆ์ไทยในปัจจุบันจำนวนมากมีเพศสัมพันธ์แบบลับๆ โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่ที่มีอำนาจที่ไม่มีใครสามารถว่ากล่าวตักเตือนได้หรือไม่สามารถทำอะไรได้ เช่น ข่าว AMARIN NEWS วันที่ 17 พ.ค. 2568 หัวข้อข่าว
“เปิดข้อมูลเด็ด สีกาเก็นมีของดีทิดแย้มแอบแซ่บตั้งแต่ปี 63” เปิดข้อมูลเด็ด “ทิดแย้ม-สีกาเก็น” เริ่มแทะโลมแอบแซ่บตั้งแต่ปี 63 พบเส้นเงินมากกว่า 300 ล้าน เชื่อ “สีกาเก็น” มีของดี สูบเดือนเดียว 80 ล้าน จากกรณีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร หรือ ทิดแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ในคดีกระทำการทุจริตยักยอกเงินจากบัญชีธนาคารของวัดโอนเข้าบัญขีธนาคารส่วนตัว เพื่อนำไปเล่นพนันบาคาร่าออนไลน์ กว่า 847 ล้านบาท
หรือข่าว ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 11 เม.ย. 2567 หัวข้อข่าว “พระเสพเมถุน เป็นชู้กับแม่บุญธรรม ตบมือข้างเดียวไม่ดัง สะเทือนวงการสงฆ์”
พระกับสีกามีสัมพันธ์สวาท สะเทือนวงการสงฆ์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้น ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ เช่นเดียวกับการอวดอุตริมนุสธรรม ฉ้อโกงเงินวัดหรือกรณีเงินทอนวัดก็มีให้เห็น ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียและพระผู้ประพฤติดีถูกมองในทางลบไปด้วย อย่างล่าสุดมีการออกมาแฉว่าอดีตผู้สมัคร สส. พรรคการเมืองเก่าแก่ มีสัมพันธ์กับพระหนุ่ม วัย 24 ปี หลังสามีของอดีตผู้สมัครสส.จับได้คาหนังคาเขาในบ้านพักต่างจังหวัด
หรือข่าว AMARIN NEWS วันที่ 20 พ.ค. 2568 หัวข้อข่าว “แม่ชีวัดดัง แจงปมภาพหลุดเที่ยวทะเล แต่งตัวแฟชั่นใส่วิก” แม่ชีวัดดังเที่ยวทะเล-ร้องคาราโอเกะแต่งตัวแฟชั่นใส่วิกไม่สำรวม แม่ชีจากวัด… ปรากฏตัวในภาพถ่าย ขณะเที่ยวทะเลกับกลุ่มสาวหล่อ สวมใส่เสื้อผ้าลำลองเปิดหน้าท้องใส่วิกผมแต่งหน้าและถ่ายภาพแนบชิดกับสาวหล่อ พร้อมร่วมกิจกรรมร้องคาราโอเกะในที่พักส่วนตัวคำถามคือ…นี่คือพฤติกรรมของผู้ถือเพศพรหมจรรย์ที่สมควรหรือไม่?
วัดไม่มีไวยาวัจกร ไม่มีคณะกรรมการคอยตรวจสอบกิจกรรมและเงินบริจาคถูกใช้เพื่ออะไร เป็นต้น ความประพฤติชั่วที่เกิดขึ้นส่วนมากเป็นพระผู้ใหญ่และรู้เห็นเป็นใจต่อกันและกัน ทำให้แก้ไขปัญหาไม่ได้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นวิกฤตในทางพระพุทธศาสนา ถึงเวลาแล้วที่คณะสงฆ์ควรศึกษากฎหมายตราสามดวงที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์และนำมาปรับการลงโทษ ซึ่งกฎหมายตราสามดวงมีสาระสำคัญดังนี้
ความเป็นมาของกฎพระสงฆ์ ปรารภเหตุการณ์เป็นสาเหตุให้ต้องตรากฎพระสงฆ์ขึ้นมา โดยเริ่มจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2310 เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนพลเมืองเกิดความระส่ำระสายไปทั่ว ภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก ประพฤติปฏิบัติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย บรรดาพระราชาคณะ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ และเจ้าอาวาสปล่อยปละละเลย ไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ ศาสนาตกอยู่ใน สภาพเสื่อมโทรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของ ประชาชนเช่นที่เคยเป็นมาในสมัยก่อน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ในฐานะที่เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก จึงทรงเร่งรับฟื้นฟูสถานภาพของพระพุทธศาสนาให้พ้นจากจุดวิกฤติโดยเร็วที่สุด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ามหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ที่เรียกว่า กฎพระสงฆ์ ขึ้นในระหว่าง ปี พ.ศ. 2324 – 2344 รวม 10 ฉบับ ในการตรากฎหมายคณะสงฆ์โดยส่วนรวม ทรงมีพระราชประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และสามเณร ประพฤติปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ให้พระราชาคณะ เจ้าอธิการ และเจ้าหน้าที่สังฆการี ทำการกำกับดูแลและลงโทษ ผู้ที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย ตามสมควรแก่โทษหนักเบาที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ (Anakame.com)
การลงโทษสงฆ์ผิดศีลสมัยรัชกาลที่ 1 ภิกษุสามเณรบาปลามกคุ้นเคยกับสีกาแล้วก็เข้าบ้านนอนบ้านผิดเพลาราตรี พูดจาสีการูปชีให้มีความเสน่หารักใคร่ ทั้งสองฝ่ายสัมผัสกายกระทำเมถุนธรรม เป็นปาราชิก
ข้อ 6. พระสงฆ์ผู้เป็นปาราชิก แล้วปกปิดไว้ร่วมทำสังฆกรรมกับสงฆ์ ถ้าพิจารณาได้เป็นสัตย์เป็นโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วให้ริบราชบาตร ขับเฆี่ยนตีโบยญาติโยมจงหนัก
ข้อ 7. พระสงฆ์ใดเป็นปาราชิก แล้วปริวัติออกเสีย (ลาสิกขา) ทรงพระกรุณาหาเอาโทษไม่ ถ้าพระสงฆ์ปาราชิกแล้วปกปิดไว้ร่วมทำสังฆกรรมกับสงฆ์ พิจารณารับเป็นสัตย์จะเอาตัวเป็นโทษถึง 7 ชั่วโคตร แล้วให้ลงพระราชอาญา ญาติโยม พระราชาคณะ ฐานานุกรม เจ้าอธิการ อันดับ ซึ่งกระทำความผิด และละเมิดเสียมิได้ระวังตรวจตรากัน (Anakame.com)
พระองค์ทรงเห็นว่า หากจะปล่อยให้พระสงฆ์เป็นอยู่อย่างเดิม การพระศาสนาก็จะเลวลงพระเกียรติยศของพระองค์ก็จะพลอยมัวหมองจนถึงกับทรงกล่าวประณามภิกษุสามเณร เหล่านั้น ว่า “มหาโจรทำลายพระศาสนา”
ศีลของพระสงฆ์ปัจจุบัน ปาราชิก มี 4 ข้อ (1) เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์) (2) ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) (3) พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ (4) กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ขาดจากความเป็นพระภิกษุ และมีโทษอื่นๆ ที่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
แสดงให้เห็นว่าการลงโทษพระสงฆ์เป็นการลงโทษเพียงให้ขาดจากความเป็นพระ ทำให้พระสงฆ์ไม่มีความเกรงกลัวต่อบทลงโทษอะไรเลย เนื่องจากพระผู้ใหญ่ส่วนมากสะสมทรัพย์เป็นจำนวนมาก บางคนซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน มีเงินฝากธนาคาร และอาจใส่ชื่อญาติพี่น้องเพื่อปกปิดไว้ จึงไม่รู้สึกอะไรกับการขาดจากความเป็นพระ หากเป็นฆราวาสแล้วก็มีทรัพย์สินที่สะสมในระหว่างความเป็นพระจำนวนมากมายก็มีความเป็นอยู่แบบสุขสบาย การแก้ไขเพิ่มโทษมีดังนี้ (1) ควรมีการลงโทษจำคุกแก่พระภิกษุผู้ขาดจากความเป็นพระ
(2) ควรมีการริบทรัพย์สินส่วนของพระภิกษุผู้ขาดจากความเป็นพระ รวมถึงทรัพย์สินที่โอนหรือถ่ายเทไว้กับบุคคลอื่นด้วย
(3) ควรลงโทษจำคุกบุคคลที่ช่วยปกปิดหรือสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจกับพระภิกษุผู้ขาดจากความเป็นพระ
(4) ควรลงโทษพระสงฆ์ที่ใช้สื่อเทคโนโลยี โดยพระสงฆ์จะใช้สื่อเทคโนโลยีได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเพื่อการติดต่อสื่อสารหรือแสวงหาความรู้เท่านั้น เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้พระสงฆ์ไทยมีอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากมีลาภสักการะมากมาย ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สิน เงินทอง และยังมีเพศตรงข้ามไว้คอยดูแลปรนนิบัติอีกด้วย
พระพุทธศาสนาจึงกลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่มาสนองกิเลสตัณหาของพระสงฆ์แบบง่ายๆ ผู้เขียนเชื่อว่าหากเคร่งครัดประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ คงลาสิกขากันไปหมด ที่จริงแล้วการเป็นพระไม่มีอะไรยุ่งยากถ้ารู้จักตัวเอง “บวชได้ก็บวช ทนไม่ได้ก็สึก” สวัสดีครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)