31.7 C
Nakhon Sawan
วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 19, 2025
spot_img

สภาอุตสาหกรรมฯ สัมพันธ์

ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์……………………………………. @ กกร. ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าคาด ห่วงส่งออก-ลงทุนแผ่ว วอนรัฐเร่งมาตรการกระตุ้น นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ร่วมในการแถลงข่าว ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1%YOY  แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1%YOY เท่านั้น โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15%YOY ตามการเร่งส่งออก แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตซึ่งขยายตัวเพียง 0.6%YOY โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง

เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ แม้คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0%YOY แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1%YOY โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน ดังนั้น มาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง อีกทั้งควรมีความยืดหยุ่นและสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก และสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง

กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ  แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม  นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

กกร. แสดงความกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกรอบเวลาในการเจรจายังไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูง โดยเชื่อมโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 ก.ค.

กกร. เห็นด้วยกับการขยายเวลาลงทะเบียนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 1 จนถึง 30 มิถุนายน 2568 และแนวทาง เฟส 2 ที่ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าโครงการได้ เช่น ผ่อนเกณฑ์เรื่องการค้างชำระหนี้สำหรับลูกค้าที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ ในมาตรการ “จ่ายตรงคงทรัพย์” และการขยายภาระหนี้ที่สามารถเข้ามาตรการ “จ่าย ปิด จบ” ได้ อย่างไรก็ดี ยังจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับในระยะถัดไป โดยเฉพาะการสร้างรายได้ เสริมสวัสดิการ ให้ลูกหนี้มีศักยภาพได้ด้วยตนเองภายหลังจบโครงการ 3 ปี เพื่อไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปเรื่อยๆ

กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ โดยมองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารฯเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่นต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตรฯ ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง (กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย) ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด จากเดิมที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ปรับเหลือ 0.8 เท่า ทั้งนี้อาจปรับเพิ่มวงเงินขึ้นตามสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการที่มีการผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า โดยการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง

……………………………………. @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 45 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ “โรงงานศูนย์เหรียญ กระทบอุตสาหกรรมไทยแค่ไหน” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจากต่างประเทศเพื่อประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า โรงงานศูนย์เหรียญนั้น สร้างผลกระทบเชิงลบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นการหลีกเลี่ยงละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในไทยเกิดจากกฎหมายไทยที่มีช่องโหว่ ตลอดจนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสวมสิทธิ์สินค้าส่งออกไทยเพื่อหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า ทั้งนี้ ยังได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ทุ่มเทในการจัดการโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและโรงงานศูนย์เหรียญ

จากผลสำรวจพบว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจากต่างประเทศเพื่อประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า โรงงานศูนย์เหรียญนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า สร้างผลกระทบเชิงลบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นการหลีกเลี่ยงละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การลักลอบประกอบกิจการ การผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การลักลอบเข้ามาทำงาน และการนำเข้าผิดกฎหมาย ซึ่งมองว่าสาเหตุของปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในไทยเกิดจากกฎหมายไทยที่มีช่องโหว่ ตลอดจนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสวมสิทธิ์สินค้าส่งออกไทยเพื่อหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า

ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการออกใบอนุญาตประกอบการโรงงาน และบูรณาการตรวจสอบเชิงรุกปราบปรามการกระทำความผิด การใช้ธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี และการใช้บัญชีม้า ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลและพัฒนาระบบติดตามวิเคราะห์พฤติกรรมของนิติบุคคลที่เข้าข่ายนอมินี เช่น การจ่ายภาษี, การจ้างงาน, การนำเข้าและส่งออก, การใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ทุ่มเทในการจัดการโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและโรงงานศูนย์เหรียญ โดยส่วนใหญ่ให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำงานของ ทีมสุดซอย อยู่ในระดับ “มาก” ซึ่งถือเป็นโมเดลการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในปัจจุบัน

……………………………………………………. @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วม MOU การป้องกันการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับในกลุ่มสินค้ากุ้ง ปลา อ้อย เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าปลายน้ำ นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นผู้แทนในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกลุ่มสินค้ากุ้ง ปลา อ้อย เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าปลายน้ำ (เช่น ปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์) โดยได้รับเกียรติจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับในกลุ่มสินค้ากุ้ง ปลา อ้อย เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าปลายน้ำ (เช่น ปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์) มีผู้แทนจาก 12 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมลงนาม ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมประมง กรมปศุสัตว์ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย  สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย

การลงนามร่วมกันในครั้งนี้ ส.อ.ท. เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญ ในการร่วมกันแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการป้องกันและขจัดการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับในห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งการลงนามครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานแรงงาน และแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อตลาดโลกในด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชน

…………………………………. @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หารือคณะนักธุรกิจ Yunnan Chain Store & Franchise Association เพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าสุขภาพ ความงามของไทยสู่ตลาดจีน เมื่อวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2568 นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ รองประธานสายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ และประธานคณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจภูมิภาคอาเซียน สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  พร้อมด้วยนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ส.อ.ท. และนายสุพจน์ ชัยวิไล เลขาธิการสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย-จีน และสมาชิกคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม ส.อ.ท. ร่วมต้อนรับนายหู หยู่หมิง (Mr.Hu Yuming) ประธานสมาคม Yunnan Chain Store & Franchise Association และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทย ณ ห้องประชุม 802 Passion ชั้น 8 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กรุงเทพฯ

การพบปะหารือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ ได้หารือเพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้คลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีนไม่ว่าจะเป็นยาแผนโบราณและปัจจุบัน เครื่องสำอาง อาหารเสริม รวมถึงอาหารสำเร็จรูป การหารือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างช่องทางการขายผ่าน Chain Store และ Franchise ในจีน

ทั้งนี้ ส.อ.ท. และ Yunnan Chain Store & Franchise Association ต่างแสดงความพร้อมในการผลักดันโครงการความร่วมมือ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจสู่ตลาดจีนในอนาคต โดยผลของการหารือในครั้งนี้ จะเป็นการนำไปสู่ความร่วมมือ และสร้างโอกาสการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมอื่นๆ ลำดับต่อไป

…………………………………….. @ นายบดินทร์ เกษมศานติ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานเปิดงานโครงการการพัฒนากำลังคนรู้จริงทุกเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กิจกรรม พัฒนากำลังคนเป็นการ Re skill ด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า โดยมีนายณัฐกิตติ์ รัฐศิลป์โภคิน พลังงานจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน และมี ดร.ปริวิชญ์ ไชยประเสริฐ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์กล่าวต้อนรับ การอบรมฯ ในครั้งนี้มีกำหนดการจัดอบรม จำนวน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 31  พฤษภาคม- 1 มิถุนายน และวันที่ 7-8, 14-15, 21-22, 28-29 มิถุนายน 2568 มีผู้สนใจเข้าร่วมรับการอบรม จำนวน 105 คน

การจัดโครงการฯ เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างสำนักงานพลังงานจังหวัดนครสวรรค์และวิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ ตามแผนพัฒนาจังหวัดนครสวรรค์ ประเด็นการพัฒนาพลังงานทดแทนและโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับยานยนต์ไฟฟ้า ฉบับทบทวนปี พ.ศ. 2568 เพื่อรองรับนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนากำลังคน การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานรองรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ การจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว สำหรับการจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์

  1. เพื่อพัฒนาทักษะ (Re Skill) กำลังคนด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
  2. เพื่อการพัฒนายกระดับทักษะและปรับปรุงทักษะที่มีให้ดีกว่าเดิม
  3. เพื่อสร้างทักษะใหม่ที่สามารถตอบโจทย์และนำไปใช้กับเทคโนโลยี
  4. เพื่อเตรียมความพร้อมด้านสมรรถนะทันต่อการเปลี่ยนอาชีพอย่างแท้จริง
  5. เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทักษะเพื่อนำไปใช้ในอนาคต

…………………………………….@ครม. ไฟเขียวหลักการร่าง พ.ร.ฎ. หลักเกณฑ์-อัตราจ่ายเงินสมทบ รับประโยชน์ทดแทนใหม่ ผู้ประกันตน ม.40 คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน หลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40* ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ มีสาระสำคัญในเรื่องการคุ้มครองกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ สงเคราะห์บุตร และกรณีเสียชีวิต เช่น เพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ลดระยะเวลาการได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เหลือเพียง 1 วันขึ้นไป ปรับเพิ่มอัตราเงินทดแทน กรณีไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล แต่มีใบรับรองแพทย์ ครอบคลุมโรคติดต่ออันตราย รวมถึงโควิด-19 (กรณีผู้ป่วยโควิดให้มีผลย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 63 – 30 ก.ย. 65) จะได้รับเงินทดแทน 200 บาท/วัน จากเดิมที่ไม่มีข้อกำหนด ขยายสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ เป็นตลอดชีวิต (จากเดิมสูงสุด 15 ปี) ปรับปรุงเงินสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ และแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายบำเหน็จชราภาพกรณีเสียชีวิต มีบทเฉพาะกาลให้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนที่ พ.ร.ฎ. นี้จะมีผลบังคับใช้ และต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ พ.ร.ฎ. นี้มีผลบังคับใช้ ก็มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ (*ผู้ประกันตนมาตรา 40 สำหรับผู้ที่ทำงานอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่ไม่ใช่พนักงานบริษัท หรือข้าราชการ ผู้ประกันตนจะมี 3 ทางเลือกโดยจ่ายเงินสมทบในอัตรา ทางเลือก 1 จ่าย 70, ทางเลือก 2 จ่าย 100, หรือ ทางเลือก 3 จ่าย 300 บาทต่อเดือน และจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามทางเลือก)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่ กระทรวงแรงงาน เสนอ

  1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่…) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้

1.1 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยลดระยะเวลาให้น้อยลง หากแพทย์มีความเห็นให้หยุดพัก เพื่อการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป (200 บาท/วัน ไม่เกิน

30 วัน หรือ 90 วัน) ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลและไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษา พยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ครั้งละ 50 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง เป็นครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล และไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็นครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง)

1.2 กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ รวมถึงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเข้ารับการรักษาตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขหรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็น 200 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน หรือ 90 วัน)

1.3 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ต่อเดือนตลอดชีวิต (เดิม 15 ปี) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือน (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,000 – 2,000 บาท/เดือน) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีทุพพลภาพ (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,500 – 3,000 บาท/เดือน)

1.4 แก้ไขระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีสงเคราะห์บุตร โดยให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ (เดิม ไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์) จำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน ในอัตรา 300 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน (เดิม 200 บาท/เดือน)

1.5 แก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตนทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ โดยให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพนั้นแต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุไว้ ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามี ภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน

1.6 กำหนดบทเฉพาะกาล เช่น ให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 และเข้ารับบริการหรือการรักษาพยาบาลตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข หรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามที่กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมกำหนดตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนวันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปจนถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งสิ้นสุดการได้รับสิทธิไปแล้วหรือยังคงได้รับสิทธิอยู่ในปัจจุบัน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ และกำหนดให้ผู้ประกันตนทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายเดิม มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพิ่มขึ้น ตามกฎหมายใหม่ ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 13 และชุดที่ 14) ได้มีมติให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ ระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพตามร่างกฎหมาย

  1. กระทรวงแรงงาน ได้เสนอรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว โดยสำนักงานประกันสังคมเปิดโอกาสสร้างหลักประกันในชีวิต ให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า แม่บ้าน รับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์ สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้ ในมาตรา 40 ผู้ที่สามารถสมัครมาตรา 40 ได้ คือบุคคลทั่วไปที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33, มาตรา 39 ไม่เป็นข้าราชการหรือบุคคลที่ถูกยกเว้นตามกฎหมายประกันสังคม

โดยแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือก

ทางเลือกที่ 1 : ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท/เดือน รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย

ทางเลือกที่ 2 : ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท/เดือน รับสิทธิประโยชน์ 4 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ชราภาพ (รับบำเหน็จ)

ทางเลือกที่ 3 (ทางเลือกใหม่) : ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท/เดือน รับสิทธิประโยชน์ 5 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ชราภาพ (รับบำเหน็จ) และสงเคราะห์บุตร………………………………….@ หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล  แสงสุข ผู้จัดการสำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์ 056-245497,081-0428 934 โทรสาร 056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti

บทความก่อนหน้านี้
บทความถัดไป

ติดตามเราที่

149แฟนคลับชอบ
spot_img

ข่าวลาสุด