สังคมไทยคงได้ประจักษ์ในพฤติการณ์ของนักการเมืองไทย ที่เข้ามาครอบครองระบบการปกครองของประเทศไทย ที่อ้างว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยอาศัยการเลือกตั้งผู้อาสาเข้ามาเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” หรือ ส.ส. เข้าไปทำหน้าที่ออกกฎหมายในฝ่ายนิติบัญญัติ
และอีกส่วนหนึ่งผันกายไปเป็นฝ่ายบริหารในนามของคณะรัฐบาลซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยว่าการ และตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองอีกมากมายที่เสกสรรค์ปั้นแต่ง แต่งตั้งกันขึ้นมาเพื่อเสวยอำนาจทางการบริหารกระเพาะอาหาร กระเป๋าเงินส่วนบุคคล ส่วนพรรคการเมือง ส่วนธุรกิจในเครือของเจ้าสัว,นายทุน ผู้แอบซุ่มอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและบริหารยอดเงินที่ซุกซ่อนในธนาคารทั้งในประเทศและต่างประเทศของครอบครัวและตระกูลสูงส่งที่อาจจะตั้งต้นมาจากอั้งยี่
เมื่อพินิจพิจารณาตามแนวคิดการปกครอง การบริหารบ้านเมืองของ เพลโตและอริสโตเติ้ล ปราชญ์โบราณที่เป็นต้นคิดเรื่องราวทางการเมืองการปกครองแล้วก็ต้องสะท้อนสะท้านและสะเทือนใจ
เพลโตเชื่อว่า การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองโดยนักปราชญ์ (Philosopher – kings) ซึ่งมีความรู้และความเข้าใจในโลกแห่งรูปแบบของการปกครองในอุดมคติ ซึ่งรัฐในอุดมคติ (Republic) ต้องเป็นรัฐที่ปกครองโดยผู้ที่มีคุณธรรมและความรู้
ส่วนอริสโตเติ้ลนั้น มีแนวคิดทางการเมืองที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของรัฐ ในการส่งเสริมชีวิตที่ดีของพลเมือง เพราะรัฐเป็นสมาคมธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อความอยู่รอดและมีความสุขร่วมกัน เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง และให้พลเมืองได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม
อริสโตเติ้ล รำพึงว่า มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกันในสังคม และต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดของตนเอง
รัฐที่ดีต้องปกครองโดยกฎหมายที่มีเหตุผลและความยุติธรรม เพื่อให้พลเมืองสามารถใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพและพัฒนาคุณธรรมได้
ที่สำคัญที่สุดคือ การเมืองที่ดีควรส่งเสริมให้พลเมืองเป็นคนดี และการกระทำ ทางการเมือง ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักศีลธรรม
ข้อมูลความหมายในการปกครองที่ดีเหล่านี้ คือแนวคิดที่แสนประเสริฐของปราชญ์ทั้ง 2 คน ทางการเมืองของโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อย้อนมองระบบการปกครอง การบริหารบ้านเมืองของไทยโดยรัฐบาลชุดนี้ นายกรัฐมนตรีคนนี้และอีกหลายๆคนย้อนไปในอดีตรวมทั้ง คณะรัฐมนตรีฝูงนี้ และ ส.ส. แทบทุกฝูงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าไม่มีพฤติการณ์ อุดมการณ์ทางการเมืองดั่งที่นักปราชญ์ดังกล่าว กล่าวไว้เลย !
