จากข่าวสังคมปัจจุบัน มีพระเถระต้องอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัยข้อ 1 คือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นจำนวนมาก ซึ่งความเป็นจริงอาจมีอีกเป็นจำนวนมากเพียงแต่พิสูจน์ไม่ได้ คนไหนที่สามารถพิสูจน์ได้ก็จะยอมลาสิกขาไป คนไหนที่พิสูจน์ไม่ได้ก็แอบแฝงอยู่กับวัดวาอารามหลอกลวงประชาชนต่อไป
ตามข่าวเดลินิวส์ หัวข้อข่าววันที่ 18 ก.ค. 2568 “สึกแล้ว 13 รูป เซ่นสัมพันธ์ฉาว ‘สีกากอล์ฟ’ พบกว่าครึ่งเคยเป็น ‘เสาหลักการศึกษาสงฆ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์ของสีกากอล์ฟ เพื่อตรวจสอบขยายผล เดินทางเข้าพบที่วัดเพื่อเจรจาให้ลาสิกขา ขณะที่พระบางรูปรู้ตัวได้ทยอยสึกเอง” ประกอบกับวันที่ 20 ก.ค. 2568 หัวข้อข่าว “เพราะโลกสองใบ! ที่มา ‘พระธรรมวชิรธีรคุณ’ เผ่นสึก เหตุเมียน้อยแค้นเจอหลอกซุกเมียหลวงจนต้องแจ้งตำรวจ ต้องรีบลาสิกขา เนื่องจากจับได้ว่ามีเมียหลวงเป็นเศรษฐินี แค้นทำให้ต้องเป็นเมียน้อย จนต้องเดินหน้าเข้าแจ้งตำรวจ โดยซุกเมียหลวงนาน 15 ปี เปย์จนรวยระดับเศรษฐินี”
แสดงให้เห็นว่า อาบัติปาราชิกข้อที่ 1 คือการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้พระภิกษุรูปนั้นขาดจากความเป็นพระทันทีเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นเมื่อไม่ได้เป็นพระแล้ว ยังมาเดินบิณฑบาต เทศน์สอนธรรม รับกิจนิมนต์ได้เงินจากประชาชนมาโดยประชาชนเข้าใจว่ายังเป็นพระ ควรมีความรับผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ทำให้เงินทั้งหลายที่ได้มาเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากข้อเท็จจริงฟังอีกได้ว่ามีการนำเงินนั้นไปประกอบธุรกิจอย่างอื่นบังหน้าอาจมีความผิดฐานฟอกเงินอีกด้วย มีสาระสำคัญดังนี้
- อาบัติปาราชิก คือ บทลงโทษพระภิกษุต้องขาดจากความเป็นพระทันที มี 4 ข้อ คือ (1) เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์) (2) ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) (3) พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือ แสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ (4) กล่าวอวดอุตตริมนุสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) อุตตริมนุสธรรม ได้แก่ ฌาน อภิญญา มรรค ผล (มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา, 2557) ซึ่งอาบัติปาราชิก ข้อ 1. “โยปนภิกขุ ภิกขูนัง สิกขาสาชีวสมาปันโน สิกขัง อัปปัจจักขายะ ทุพพะละยัง อนาวิกัตตะวา เมถุนัง ธัมมัง ปฏิเสเวยยะ อันตะมะโส ติรัจฉานคตายปิ ปาราชิโก โหติ อสังวาโส” แปลว่า “ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกัน ของภิกษุทั้งหลายยังไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอยกำลัง พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส” หมายความว่า “ภิกษุใดที่มีพระธรรมวินัยเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ โดยภิกษุนั้นยังไม่ลาสิกขาให้ชัดแจ้ง แล้วมีเพศสัมพันธ์ แม้กับสัตว์ ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก” ซึ่ง “ผลของอาบัติปาราชิก คือ ขาดจากความเป็นพระทันที” โดยไม่ต้องมีพิธีกรรมใดๆ เช่น การสอบสวน การไต่สวนคดี คำสั่ง หรือคำตัดสินใดๆ เป็นต้น
ซึ่งการพิสูจน์ความผิดเป็นการดำเนินการทางกฎหมายของคณะสงฆ์และบ้านเมืองเท่านั้น เป็นการดำเนินการภายหลังที่พระภิกษุนั้นขาดจากความเป็นพระไปแล้ว อาจมีระยะเวลา 15 ปีตามข่าว หรือ 5 ปี หรือ 3 ปี แล้วแต่กรณี
ทำให้ในช่วงระยะเวลานับจากวันที่ขาดจากความเป็นพระจนถึงวันที่ลาสิกขา อาจถูกจับให้ลาสิกขาหรือลาสิกขาด้วยตนเองแล้วแต่กรณี หากมีการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการรับกิจนิมนต์ เทศน์ หรือรับเงินจากประชาชน โดยประชาชนหลงผิดว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ และความหลงผิดนั้นเกิดจากการปกปิดของผู้นั้น ประกอบกับผู้นั้นรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองขาดจากความเป็นพระแล้ว แต่นำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ เทศน์ หรือรับเงินจากประชาชน จึงมีเจตนาโดยทุจริตในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งต่อไปผู้อ่านลองศึกษาความผิดฐานฉ้อโกงประชาน
- ความฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” และมาตรา 343 “ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” มีองค์ประกอบดังนี้
โดยทุจริต หมายถึง “เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” องค์ประกอบของคำว่า “โดยทุจริต” มีดังนี้
(1) แสวงหาประโยชน์ ซึ่งการแสวงหาประโยชน์ในที่นี้ หมายถึง ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและประโยชน์ที่มิใช่ทรัพย์สินด้วย กรณีผู้ขาดจากความเป็นพระแล้วยังรับกิจนิมนต์ รับกัณฑ์เทศน์ หรือรับเงินหรือประโยชน์อื่นใดจากประชาชน จึงมีลักษณะเป็นการแสวงหาประโยชน์ ตามองค์ประกอบที่ (1)
(2) ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง ต้องเป็นประโยชน์ที่ผู้แสวงหานั้นไม่มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมาย ในทางกลับกัน ถ้าประโยชน์นั้นผู้แสวงหามีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายแล้ว ย่อมมิใช่ทุจริต กรณีผู้ขาดจากความเป็นพระแล้ว นำจีวรมาห่มเพื่อแสวงหาประโยชน์ ตาม (1) จึงมีลักษณะเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากขาดจากความเป็นพระแล้ว ตาม (2) ในทางกลับกันถ้ายังไม่ขาดจากความเป็นพระจะเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมาย จะไม่ทุจริต
(3) สำหรับตนเองหรือผู้อื่น หมายถึง การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เพื่อต้องการเอาประโยชน์เป็นของตนเองหรือของผู้อื่น หรือร่วมกัน กรณีผู้ขาดจากความเป็นพระแล้ว นำจีวรมาห่มเพื่อแสวงหาประโยชน์ ตาม (1) เพื่อตนเองหรือผู้อื่น อาจเป็นสีกากอล์ฟ สีกาเก็น หรือเศรษฐินีก็แล้วแต่ จึงมีลักษณะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น ตาม (3)
ดังนั้นผู้นั้นรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองขาดจากความเป็นพระแล้ว นำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ เทศน์ หรือรับเงินจากประชาชน จึงมีเจตนาโดยทุจริตในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง มีสาระสำคัญดังนี้ (สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล)
1) การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ มี 3 ประการคือ (1) ที่ว่าเป็น “เท็จ” นั้น ต้องมีการเปรียบเทียบ 2 ประการคือ ต้องมีข้อความอันใดอันหนึ่งอยู่แล้วซึ่งเป็นเท็จ และเปรียบเทียบอีกข้อความหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ตรงกับความจริงก็เรียกว่า เป็นข้อความเท็จ (2) การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ อาจกระทำโดยวาจาหรือการกระทำหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ (3) ข้อความอันเป็นเท็จ อาจเป็นข้อเท็จจริงภายในหรือที่สามารถเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือดมก็ได้ หรือข้อเท็จจริงภายในที่เกี่ยวกับเจตนาหรือความคิดเห็นของผู้กระทำ ถ้าขณะแสดงข้อความนั้นไม่ตรงกับที่ตนมีเจตนาหรือมีความคิดไว้เป็นข้อความเท็จและเข้าข่ายการฉ้อโกง
2) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง พิจารณาจากข้อความที่ว่า “ควรบอกให้แจ้ง” แสดงว่า (1) ผู้กระทำการหลอกลวงนั้น มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อความให้ทราบด้วย เพราะถ้าไม่มีหน้าที่แล้วไม่บอกก็จะว่าปกปิดไม่ได้ (2) การกระทำในข้อนี้ถือว่าเป็นการกระทำในทางลบในข้อที่ว่าถือเป็นการปกปิดซ่อนเร้นไม่ให้คู่กรณีรู้ถึงข้อความที่ผู้นั้นควรได้รู้ (3) สำหรับหน้าที่การแจ้งให้ทราบนั้น อาจเกิดจากหน้าที่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ตามสัญญา หน้าที่ที่เกิดจากความสุจริตหรือความไว้วางใจต่อกันและกัน และหน้าที่ที่เกิดจากการกระทำก่อนๆ ของตน
ดังนั้นผู้ขาดจากความเป็นพระแล้ว นำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ รับเงินกัณฑ์เทศน์ หรือรับทรัพย์สินอื่นจากประชาชน จึงเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จที่เกิดจากการกระทำ ตามข้อ 1) (2) ข้างต้น ซึ่งมีข้อความเดิมอยู่แล้วคือผู้นั้นขาดจากความเป็นพระแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับความจริงคือผู้นั้นยังห่มจีวรอยู่ จึงเรียกว่า เป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ตามข้อ 1) (1) ข้างต้น ประกอบมีการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ผู้ขาดจากความเป็นพระมีหน้าที่ที่ต้องแจ้งข้อความให้ทราบ ตามหน้าที่ที่เกิดจากความสุจริตหรือความไว้วางใจต่อกันและกัน ตามข้อ 2) (3) ข้างต้น ผู้ขาดจากความเป็นพระแล้วนำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ รับเงินกัณฑ์เทศน์ หรือรับทรัพย์สินอื่นจากประชาชน จึงมีลักษณะเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จด้วยการกระทำว่าตนเองยังเป็นพระภิกษุอยู่ และปกปิดข้อความจริงที่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้ทราบตามหน้าที่เกิดจากความสุจริตหรือไว้วางใจกัน
ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อและได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดสำเร็จ เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์หรือประโยชน์อื่นอันเป็นผลจากการที่ตนหลงเชื่อ มีดังนี้ (1) ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อ ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกประการหนึ่งในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล หากผู้ถูกหลอกลวงไม่หลงเชื่อก็เป็นเพียงขั้นพยายามฉ้อโกงเท่านั้น (2) ความเสียหายในทางทรัพย์สินจะต้องมีขึ้นและต้องเป็นผลโดยตรงจาการหลอกลวงและมีการโอนทรัพย์เกิดขึ้น คือ ต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล เพราะหลงเชื่อจึงมีการความเสียหายทางทรัพย์สินเกิดขึ้น (3) ความเสียหายทางทรัพย์สินอาจเป็นการส่งมอบ โอน ทำ ถอนเอกสารสิทธิ และอาจเป็นของบุคคลที่ 3 ก็ได้
ดังนั้นผู้ขาดจากความเป็นพระแล้วนำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ รับเงินกัณฑ์เทศน์ หรือรับทรัพย์สินอื่นจากประชาชน โดยประชาชนนิมนต์ ใส่กัณฑ์เทศน์ หรือส่งมอบทรัพย์สินเพราะหลงเชื่อหรือเข้าใจว่า “เป็นพระภิกษุ” หากประชาชนรู้ว่าที่ห่มจีวรอยู่นั้นขาดจากความเป็นพระแล้ว จะไม่นิมนต์ ไม่ใส่กัณฑ์เทศน์ หรือส่งมอบทรัพย์สินอย่างแน่นอน
คำพิพากษาฎีกาที่ 10517/2559 “จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านขว้าง หรือเป็นกรรมการวัด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในวัดบ้านขว้างที่จะมีอำนาจจัดทอดผ้าป่าโดยลำพัง การที่จำเลยจัดพิมพ์ซองผ้าป่าซึ่งข้อความบนซองผ้าป่าของกลางเป็นการเชิญชวนให้ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี ณ วัดบ้านขว้าง ทั้งที่จำเลยไม่มีอำนาจโดยลำพังที่จะจัดทอดผ้าป่าในนามวัดบ้านขว้างโดยพลการเพราะไม่ได้แจ้งหรือขออนุญาตเจ้าอาวาสวัดและไม่ได้ผ่านการประชุมระหว่างไวยาวัจกร กรรมการวัด เจ้าอาวาสวัด ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนรวมทั้งชาวบ้าน ทั้งซองผ้าป่าของกลางที่จัดพิมพ์แจกจ่ายให้ผู้อื่นไม่มีรอยตราของวัดประทับด้านหลังซอง การจัดพิมพ์ซองผ้าป่าดังกล่าวจึงเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ โดยจำเลยไม่มีอำนาจ ลักษณะข้อความตามซองผ้าป่าของกลางระบุชัดเจนว่าเป็นการทอดผ้าป่า ณ วัดบ้านขว้าง ทำให้ประชาชนทั่วไปเชื่อว่าเป็นซองผ้าป่าที่แท้จริงที่จัดทำขึ้นโดยวัดบ้านขว้าง ทั้งที่ความจริงแล้วทางวัดบ้านขว้างมิได้รับรู้ด้วย หากมีการนำซองผ้าป่าดังกล่าวไปใช้โดยไม่สุจริตนำออกเรี่ยไรเงินจากชาวบ้านแล้วไม่นำเงินมาทำบุญที่วัดบ้านขว้างตามที่ระบุในซองผ้าป่า ย่อมเกิดความเสื่อมเสีย หรือเสียชื่อเสียง หรือขาดความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อวัดบ้านขว้างและพระครู ป. เจ้าอาวาสวัดบ้านขว้าง แม้ผลของการกระทำจะยังไม่ปรากฏความเสียหายแต่พิจารณาพฤติการณ์ประกอบการกระทำของจำเลยที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไปในลักษณะเดียวกับจำเลยก็น่าจะเกิดความเสียหายได้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก แล้ว”
แสดงให้เห็นว่าผู้ขาดจากความเป็นพระแล้วนำผ้าจีวรมาห่มเพื่อรับกิจนิมนต์ รับเงินกัณฑ์เทศน์ หรือรับทรัพย์สินอื่นจากประชาชน มีเจตนาโดยทุจริตในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง คือหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความด้วยการกระทำว่าตนเองยังเป็นพระภิกษุอยู่ และการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อจึงส่งมอบทรัพย์สินหรือประโยชน์ให้แก่ผู้ขาดความเป็นพระ จึงมีความผิดฐานฉ้อโกง ประกอบกับการฉ้อโกงนั้นได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนด้วย ทำให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้มาจากการฉ้อโกงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และหากนำเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยจากการกระทำความผิดหรือเงินเกี่ยวกับความผิดมาเปลี่ยนสภาพให้มีลักษณะเป็นเงินที่ถูกฎหมาย ด้วยการนำไปประกอบธุรกิจแสดงถึงความร่ำรวยผิดปกติจากคนไม่มีอะไรกลายเป็นเศรษฐี อาจมีความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนั้นการขาดจากความเป็นพระจะเป็นเรื่องของพระก็ต่อเมื่อรู้ตัวว่าขาดจากความเป็นพระก็ถอดจีวรแล้วมาใส่เสื้อนุ่งกางเกงเสีย ถ้าขาดจากความเป็นพระแล้วยังใส่จีวรแสวงหาผลประโยชน์ โดยผู้ให้ประโยชน์หลงเชื่อว่ายังเป็นพระอยู่ จะไม่ใช่เรื่องของสงฆ์อีกต่อไปเพราะเป็นความผิดตามกฎหมายบ้านเมือง สวัสดีครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)