28.2 C
Nakhon Sawan
วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 7, 2025
spot_img

สภาอุตสาหกรรมฯ สัมพันธ์

ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์…………………………………………………….. @เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568  ที่เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ขอนำพระราชกรณียกิจบางส่วนมานำเสนอเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ ที่ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต อาชีพ และความเป็นอยู่ของบุคคลผู้ยากไร้ และประชาชนในชนบทห่างไกล โครงการที่มีสาขาขยายกว้างขวางไปทั่วประเทศโครงการหนึ่งก็คือ โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ ซึ่งในภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งเป็นรูปมูลนิธิ พระราชทานนามว่า “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในพระบรมราชินูปถัมภ์”  และได้เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในปัจจุบัน อันเป็นการส่งเสริมอาชีพและขณะเดียวกันยังอนุรักษ์และส่งเสริมงานศิลปะพื้นบ้านที่มีความงดงามหลายสาขา เช่น การปั้น การทอ การจักสาน เป็นต้น นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงใส่พระทัยในกิจการด้านสาธารณสุข พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั้งในและต่างประเทศ มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นฐานการดำรงชีวิตของพสกนิกร คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ถวายพระราชสมัญญา “พระมารดาแห่งการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ” ในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ยังมีพระราชกรณียกิจอีกมายมากเพื่อพสกนิกรอันเป็นที่รักของพระองค์ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ อยู่เคียงคู่ฟ้าและแผ่นดินสยามตลอดไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายวีรวุฒิ บำรุงไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ คณะที่ปรึกษา คณะกรรมการ คณะทำงาน สมาชิก และเจ้าหน้าที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์

……………………………………. @เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 นายวีรวุฒิ บำรุงไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรด้านชีวมวล ร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการความร่วมมือไทย – เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (TGC EMC) กลุ่มงานพลังงานชีวมวล โดยมี นางภัทรภร บุญอาบ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ และอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ เข้าร่วมประชุมหารือด้วย ณ ห้องประชุมห้างหุ้นส่วนจำกัด ลิ่มเชียงเส็ง จังหวัดนครสวรรค์

……………………………………………………. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หารือ กระทรวงแรงงาน ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนและอุตสาหกรรมไทย เมื่อวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยมี ดร.ดารัตน์  ศิริวิริยะกุล วิภาตะกลัศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ เข้าร่วมพร้อมคณะกรรมการ ส.อ.ท. เข้าพบนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน และนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมทั้งหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน

นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเป้าหมายหลักของกระทรวงแรงงาน คือ การยกระดับแรงงานไทยด้วย 5 นโยบาย ได้แก่ 1) การใช้ AI พัฒนาแรงงาน 2) การคุ้มครองแรงงานเท่าเทียม 3) การส่งเสริมเยาวชนทำงานระหว่างเรียน (Learn to Earn) 4) การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และ 5) การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ส่งผลให้ประเทศไทยโดยเฉพาะแรงงานต้องปรับตัว เพื่อให้อยู่รอด ดังนั้น ส.อ.ท. ขับเคลื่อนแนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ควบคู่กับการก้าวสู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ผ่านแนวทาง ดังนี้

(1) เปลี่ยนการผลิตจาก OEM – Original Equipment Manufacturer (ผู้ผลิตตามสั่งแบรนด์อื่น) เป็น ODM – Original Design Manufacturer (ผู้ผลิตที่ออกแบบเองด้วย) หรือ OBM – Original Brand Manufacturer (ผู้ผลิตและทำแบรนด์เอง)

(2) เปลี่ยนการใช้แรงงาน มาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เช่น ดิจิทัล, AI และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น

(3) เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไร มาเป็นการผลิตเพื่อความยั่งยืน

(4) เปลี่ยนจาก Unskilled Labour มาเป็น High-skilled labour ผ่านกลไก Pay by skills

ในส่วนของปัญหาความเดือดร้อนของ SMEs ไทย การขึ้นค่าแรง 400 บาทในพื้นที่ Eastern Economic Corridor (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) หรือ EEC เท่ากันแบบเหมารวมทั้ง 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง แต่พื้นที่ EEC ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมีเพียง 15% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ทำให้ 98.5% ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs ทั้งนี้ ขอเสนอภาครัฐในการออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบค่าแรง 400 บาท ได้แก่

–    มาตรการลดหย่อนภาษี

–    เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับพยุงการจ้างงาน

–    การส่งเสริมเทคโนโลยีและการปรับตัว

–    การลดอัตราการส่งเงินสมทบประกันสังคมฝ่ายนายจ้างจาก 5% เหลือ 0-1%

–    การลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% เหมือนช่วงโควิด

–    การลดอัตราค่าไฟฟ้าเหลือ 3.50 บาท จาก 3.70  บาท

–    การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาตต่างๆ

ในส่วนข้อเสนอสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ดร.ดารัตน์ วิภาตะกลัศ ประธานอาวุโสสภาอตุสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ในฐานะ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และงานสำนักประธาน เสนอแนะแนวทางการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคต โดยควรกำหนดรูปแบบและหลักการคำนวณที่ชัดเจนที่สัมพันธ์กับผลิตภาพแรงงานและประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตของแต่ละธุรกิจและสถานประกอบการ นอกจากนี้ ขอให้ทบทวนการจ่ายเงินสมทบเข้า “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ใหม่ หรือขยายเวลาวันที่มีผลบังคับใช้ออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ จากปัญหาปัจจัยระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายทางการค้าระหว่างประเทศ ปัญหาสินค้าจีน เป็นต้น การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

…………………………………. @บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดหนักเปิดตัว “โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงิน ระยะที่ 7” นวัตกรรมการค้ำประกันสินเชื่อ ดึงระบบ “Credit Scoring”  เพิ่มประสิทธิภาพค้ำประกันและเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการ “เงินเพื่อขยายธุรกิจ”

✔ ค่าธรรมเนียมค้ำประกันเริ่มต้นเพียง 1 %

✔ วงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท/ราย

✔ ระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด 10 ปี

รับคำขอถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ขอรับคำปรึกษาและสอบถามรายละเอียดได้ที่ บสย. Call Center ได้ที่ 0-2890-9999 หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บสย. กำหนด

…………………………………….. @ไทยเดินหน้าสู่ Net Zero! สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผนึกกำลัง 9 หน่วยงานรัฐ-เอกชน ร่วมพัฒนา “ฐานข้อมูลและตัวชี้วัด” หนุน ศก.คาร์บอนต่ำ นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ กรรมการบริหารและประธาน Climate Change Pillars เป็นผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) “ความร่วมมือการพัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีหน่วยงานที่ร่วมลงนามในครั้งนี้ ประกอบด้วยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (มสท.) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ

MOU มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดด้านการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GreenHouse Gas: GHG) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

  1. รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
  2. ยกระดับการแข่งขันไทยในเวทีโลก
  3. เตรียมพร้อมรับมือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของ EU
  4. สนับสนุน BCG Economy และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความร่วมมือในครั้งนี้ โดยจะมีบทบาท ดังนี้

  1. สนับสนุนและเสนอแนะข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อสะท้อนความต้องการที่แท้จริง ตลอดจนความเร่งด่วนของการพัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับทิศทางการค้าและการลงทุนในอนาคต
  2. ผลักดันโจทย์วิจัย พัฒนา และนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศ
  3. เสนอแนะแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลและตัวชี้วัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับบริบทไทย ทั้งในระดับภาคอุตสาหกรรมและระดับประเทศ และพร้อมให้การสนับสนุน ทั้งในรูปแบบความร่วมมือและความเชี่ยวชาญจากสมาชิกภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศ

ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการปักหมุด โครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ สู่อนาคตที่ยั่งยืน แข่งขันได้ และปลอดคาร์บอน

……………………………………….@ GS1 Global เยือนไทย จับมือ GS1 Thailand พัฒนา Traceability และมาตรฐานบาร์โค้ดเพื่อธุรกิจไทย เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 ดร.คมสัน เหล่าศิลปเจริญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันรหัสสากล (GS1 Thailand) นายพิสิฐ รังสฤษฏ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการสถาบันฯ ร่วมต้อนรับ Mr. Renaud de Barbuat ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร GS1 Global เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล การส่งเสริมระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) รวมถึงการประยุกต์ใช้มาตรฐาน GS1 กับภาคธุรกิจในประเทศไทย ณ ห้องประชุมสหพัฒน์ (GS1-1) ชั้น 11 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

 

 

“สถาบันรหัสสากล หรือ GS1 Thailand ดำเนินภารกิจในการดูแลระบบบาร์โค้ดมาตรฐานสากลของ GS1 ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 37 ปี เรามีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการผลักดันให้ข้อมูลของสินค้าจากประเทศไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ในกรณีสินค้านั้นอาจมีปัญหาทั้งด้านความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค รวมถึงปัญหาด้านคุณภาพอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ยารักษาโรค เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ เป็นต้น ระบบบาร์โค้ดมาตรฐานสากล GS1 เปรียบเสมือนภาษากลางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส เชื่อถือได้ และอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยสู่เวทีสากล”

Mr.Renaud de Barbuat ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร GS1 กล่าวว่า “ข้อมูลที่มีคุณภาพเป็นรากฐานของความน่าเชื่อถือสำหรับแบรนด์และธุรกิจ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ในแต่ละประเภทจะต้องถูกต้อง โปร่งใส และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งระบบมาตรฐานสากลของ GS1 สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม การเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้ผมได้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และ GS1 Thailand ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการประยุกต์ใช้ระบบบาร์โค้ดมาตรฐานสากลของ GS1 อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ GS1 Global เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ GS1 Vision 2030 เพื่อสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ให้สามารถเติบโตและสร้างนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ เชื่อมโยงกันได้ และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลและยุค AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ระหว่างการเยือนประเทศไทย Mr. Renaud ได้เข้าพบและหารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน),ตัวแทนผู้ประกอบการไทย และบริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรของ GS1 Thailand เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีมาตรฐานสากลสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในไทย

สถาบันรหัสสากล (GS1 Thailand) ดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนออกเลขหมายบาร์โค้ดตามมาตรฐานสากล GS1 ประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว และมีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการนำระบบมาตรฐานสากล GS1 ที่มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการบ่งชี้สินค้า สินทรัพย์ และตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนสำหรับการบ่งชี้สินค้าที่ไม่ซ้ำกันทั่วโลก สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดซัพพลายเชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นอัตโนมัติ

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับธุรกิจด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้ด้วยมาตรฐานสากล GS1 สามารถสอบถามได้ที่ สถาบันรหัสสากล (GS1 Thailand) โทร. 02-345-1200 อีเมล [email protected]  Line: @gs1thailand และ Facebook: GS1 Thailand หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ www.gs1th.org สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันรหัสสากล (GS1 Thailand) โทร. 02-345-1200

………………………..@ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิ่ง ปัญหาด่านเขมร–ภาษีสหรัฐฯ กดดัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอรัฐเร่งแก้เกมการค้า เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วย ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. ร่วมแถลงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลงจาก 88.1 ในเดือนพฤษภาคม 2568

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลง จาก 88.1 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นผลจากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG จากไทย ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน ด้านสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี Sectoral Tariff ในกลุ่มสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลกระทบทำให้ราคาพลังงานผันผวน การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว อีกทั้งการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศกดดันผู้ประกอบการ การผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วยสินค้านำเข้า ราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร และทำให้กำลังซื้อในภูมิภาคลดลง รวมถึงความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนและเงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน ยังคงมีปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดมาตรการชะลอการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff)  ในเดือนกรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ยังมีทิศทางเชิงบวก และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการช่วงกลางปี ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,342 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมิถุนายน 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเข้าถึงสินเชื่อ 51.7% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 39.9% ราคาพลังงาน 31.3% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 24.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 61.0% เศรษฐกิจโลก 57.7% นโยบายภาครัฐ 47.5%

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือนพฤษภาคม 2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัญหาบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงการปิดด่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทย ด้านคณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดในบางกิจการ มีผลวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 กระทบต่อต้นทุนการจ้างงานของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการค้า อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 คาดว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 

1.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าชายแดนไทย – กัมพูชา เช่น ช่วยรับซื้อสินค้าและกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ชั่วคราวสำหรับ SMEs ชดเชยค่าจ้างให้แรงงานกรณีปิดกิจการชั่วคราว อุดหนุนส่วนต่างราคาวัตถุดิบหากต้องนำเข้าจากแหล่งอื่น และสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางเรือหรือทางอากาศ เป็นต้น

2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ให้ดำเนินการได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบโครงการอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส

3.ขอให้ภาครัฐเร่งเจรจาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ให้ลดลงสู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://fti.or.th/ids ………………………………….@หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล  แสงสุข ผู้จัดการสำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์  โทรศัพท์056-245497,081-0428 934 โทรสาร056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti

ติดตามเราที่

149แฟนคลับชอบ
spot_img

ข่าวลาสุด