กฎหมายเกี่ยวกับทุ่นระเบิดนั้น ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นอาวุธที่ถูกห้ามใช้ภายใต้อนุสัญญาออตตาวา แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เกรงกลัวต่อสนธิสัญญาใดๆ ระหว่างประเทศ ได้ปฏิบัติการทางทหารด้วยการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวาที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตามรายงานข่าว ไทยรัฐนิวส์โชว์ วันที่ 12 ส.ค. 2568 “ทหารเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดจำนวน 5 นาย ในวันที่ 12 ส.ค. 2568 กัมพูชาไม่จบแม้จะมีการเจรจา GBC หยุดยิงแล้วตั้งแต่ 7 ส.ค. 68 แต่ล่าสุดเช้าวันนี้วันแม่แห่งชาติ มีทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 ขาขาดอีกแล้ว ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมีทหารไทยขาขาดเพราะทุ่นระเบิดที่กัมพูชามาฝังไว้ดังนี้
ครั้งที่ 1 วันที่ 16 ก.ค. 68 พลฯ ธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 เดินลาดตระเวนกับเพื่อนที่เนิน 481 ช่องบก จ.อุบลราชธานี ครั้งนั้นแรงระเบิดทำให้ พลทหาร ธนพัฒน์ ข้อเท้าซ้ายขาด ส่วนเพื่อนอีก 3 คน บาดเจ็บจากแรงอัดของระเบิด
ครั้งที่ 2 วันที่ 23 ก.ค. 68 จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญชูหล้า สังกัด พัน.ร.14 ออกลาดตระเวนกับเพื่อนๆ 6 คนบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อ. จ.อุบลราชธานี เหยียบทุ่นระเบิดทำให้ต้องตัดขาขวา ส่วนเพื่อนอีก 6 คน ได้รับบาดเจ็บจากแรงอัดของระเบิด
ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ก.ค. 68 ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร สังกัด รพศ.2 พัน2 เหยียบทุ่นระเบิดระหว่างยิงเปิดทางให้ ร.31 รอ. ขึ้นไปบุกยึดปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ช่วง 5 นาทีสุดท้ายก่อนหยุดยิง แรงระเบิดทำให้ขาขวาขาด
คร้ังที่ 4 วันที่ 9 ส.ค. 68 ซึ่งครั้งนี้คือเหตุการณ์แรกหลังได้ข้อสรุปจากการพูดคุย GBC เกี่ยวกับเรื่องหยุดยิง จ.ส.อ. ธานี พาหา สังกัด พัน ร.14 พร้อมเพื่อน เดินลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ ก่อนไปเหยียบทุ่นระเบิด แรงระเบิดทำให้ จ.ส.อ.ธานี ข้อเท้าซ้ายขาด และทำให้เพื่อนอีก 2 คน บาดเจ็บจากแรงอัดของระเบิด
คร้ังที่ 5 วันที่ 12 ส.ค. 68 ส.อ.ธีรพล เพียขันที สังกัด ร้อย.ทพ. 2610 ไปลาดตระเวนบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ซึ่งแรงระเบิดส่งผลให้ขาซ้ายขาด
โดยจะสังเกตว่าพื้นที่ที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 ครอบคลุม 3 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยสำนักข่าว Thai PBS และ BBC news วันที่ 20 ก.ค. 2568 หัวข้อข่าว “รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติขอเรียกร้องให้ราชอาณาจักรกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน รวมถึงดำเนินมาตรการทางกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะนี้อีกในอนาคต” TMAC ระบุในแถลงการณ์”
แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกัมพูชากระทำละเมิดอย่างท้าทายและไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายระหว่างประเทศฉบับใดๆ เนื่องจากเป็นการกระทำซ้ำๆ กระทำแล้วกระทำอีก ทำให้ทหารไทยขาขาดถึง 5 นาย ประกอบกับสำนักข่าว TNN วันที่ 17 ส.ค. 2568 รายงานว่า “กัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 และชนิดอื่นๆ จำนวนมากและลักลอบนำมาวางในเขตอธิปไตยของไทย กว่า 3,700 ลูก” และสำนักข่าว Thai PBS วันที่ 19 ส.ค. 2568 รายงานว่า “ชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดกองทัพเรือ (ทร.) พบโทรศัพท์มือถือบนภูมะเขือ ตรวจสอบภายในเครื่องพบหลักฐานทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในเครื่องโทรศัพท์ พบคลิปวิดีโอและภาพถ่ายสาธิตวิธีใช้งาน และคลิปการนำทุ่นระเบิดไปฝัง เป้าหมาย คือวางพุ่งเป้าข้อเท้าและให้วางที่ต้นไม้ 210 ต้น” ซึ่งบทความนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับข้อห้ามวางทุ่นระเบิดมีสาระสำคัญดังนี้ (กระทรวงการต่างประเทศ: 2565)
- อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ประกาศใช้เมื่อปี 2542 ให้สัตยาบันจำนวน 166 ประเทศ เป็นสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถูกนิยามว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ออกแบบมาเพื่อให้ระเบิด เมื่อมีคนเข้ามาใกล้หรือสัมผัส ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคลได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตได้ กำหนดให้รัฐภาคีต้องทำลายทุ่นระเบิดที่อยู่ในคลังภายใน 4 ปี และกวาดล้างพื้นที่ที่มีการฝังทุ่นระเบิดภายใน 10 ปี นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐภาคีให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดและให้ความช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดแก่ประเทศอื่น ๆ แต่อนุสัญญาดังกล่าวไม่มีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและไม่มีบทลงโทษโดยเฉพาะ เพียงแต่การละเมิดข้อกำหนดอาจนำไปสู่แรงกดดันจากประชาคมโลก
- พันธกรณีตามอนุสัญญา
(1) ไม่ใช้ พัฒนา ผลิต และสะสม จัดเก็บ และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปให้ผู้ใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม
(2) ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เก็บสะสมไว้ในคลังทั้งหมดภายใน 4 ปี หลังจากอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้
(3) เก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝังอยู่ในพื้นดินภายใน 10 ปี หลังจากอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้
(4) ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งทางการแพทย์ การฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ การฝึกและการพัฒนาศักยภาพ การจัดหาอาชีพ เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคม
(5) ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายและวิธีป้องกันภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Mine Risk Education-MRE)
- วันทุ่นระเบิดสากล สหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 4 เมษายน ของทุกปีเป็นวันทุ่นระเบิดสากล (International Day for Mine Awareness and Assistance in Mine Action) เพื่อสร้างความตระหนักและประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนทั่วไปรับทราบเกี่ยวกับปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีอยู่ในหลายประเทศ เพื่อระดมความช่วยเหลือจากนานาชาติในการร่วมขจัดปัญหาทุ่นระเบิดให้หมดสิ้นอย่างเร่งด่วน
- สภาพบังคับของอนุสัญญา สนธิสัญญาไม่ได้จัดตั้งหน่วยงานบังคับใช้หรือตรวจสอบ หรือกำหนดมาตรการลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม รัฐภาคีอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตามของรัฐภาคีอื่น และสามารถเรียกประชุมพิเศษของรัฐภาคีเพื่อพิจารณาข้อกล่าวหานั้นได้ รัฐภาคีสามารถจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการไม่ปฏิบัติตาม และหากจำเป็นสามารถเรียกรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องมาหารือเกี่ยวกับประเด็นการปฏิบัติตามได้ ซึ่งในปี พ.ศ. 2544 ได้มีมติจัดตั้งหน่วยสนับสนุนการดำเนินการขนาดเล็ก (ISU) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดอย่างมีประสิทธิผล และช่วยเหลือภาคีต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน (Daryl Kimball: 2567)
- การลงนามของประเทศกัมพูชาและประเทศไทย โดยประเทศกัมพูชาได้ลงนามในวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1997 ( 2540) ให้สัตยาบันในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 1999 (2542) และมีผลบังคับใช้หรือเข้าร่วมอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 (2543) ขณะที่ประเทศไทยได้ลงนามในวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1997 (2540) ให้สัตยาบันในวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 1998 (2541) และมีผลบังคับใช้ หรือเข้าร่วมอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปี 1999 (2542)
แสดงให้เห็นว่าจากเหตุการณ์ประเทศกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทย โดยการนำทุ่นระเบิดมาวางไว้ในอธิปไตยของประเทศไทย จนเกิดเหตุทำให้ทหารไทยได้รับอันตรายสาหัสไปถึง 5 นาย ซึ่งเป็นการกระทำหลายครั้ง โดยการลักลอบนำมาวางในเขตอธิปไตยของไทย กว่า 3,700 ลูก บริเวณเส้นทางลาดตระเวนในอธิปไตยของประเทศไทย ทุ่นระเบิดเป็นอาวุธชนิดหนึ่งในการทำสงครามเช่นเดียวกับอาวุธปืน การวางทุ่นระเบิดเมื่อได้วางสำเร็จแล้วจึงไม่ต่างกับการใช้อาวุธปืนยิงทหารไทยนั่นเอง
ซึ่งการกระทำของรัฐบาลกัมพูชาที่นำทุนระเบิดมาวางในอธิปไตยของไทยได้กระทำตั้งแต่ก่อนเกิดการสู้รบกันและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสู้รบกัน และในระหว่างสู้รบกัมพูชาได้วางทุ่นระเบิดตลอดแนวและบริเวณปราสาทต่างๆ แม้กระทั่งมีข้อตกลงหยุดยิงในวันที่ 28 ก.ค. 2568 กัมพูชาได้นำทุ่นระเบิดมาวางเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก จนเป็นเหตุให้ทหารไทยเดินลาดตระเวนเหยียบทุ่นระเบิดที่กัมพูชานำมาวางไว้
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่ได้หยุดยิงหรือไม่ได้ยุติการสู้รบตามข้อตกลงตลอดมา และเป็นการกระทำละเมิดท้าทายและไม่เกรงกลัวต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศแม้แต่น้อย
ผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลไทยควรตอบโต้เพื่อแสดงความปกป้องอธิปไตยของตน และปกป้องคนในชาติไทยคือทหารที่ได้รับอันตรายสาหัสอันเกิดจากการกระทำของกัมพูชาให้ชัดเจน
“อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้” สวัสดีครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา