ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์…………………………………………………….. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จับมือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผนึกพลังพัฒนากำลังคน-นวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่สากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) นำโดยศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัย (MOU) เพื่อร่วมพัฒนากำลังคนและนวัตกรรม ต่อยอดศักยภาพอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากล ผ่านกิจกรรมร่วมในหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรม รวมถึงการให้บริการทางวิชาการ ณ โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ
ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จะดำเนินกิจกรรมสำคัญ ได้แก่
พัฒนาหลักสูตรด้านโภชนาการและนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ (Food for Longevity) โดยบูรณาการความรู้ร่วมกับคณาจารย์จากคณะสหเวชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีศักยภาพสูง ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพ พร้อมทั้งสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตและการมีอายุยืนอย่างมีสุขภาวะที่ดี
ฝึกงานและสหกิจศึกษาในรูปแบบ Problem-based Learning (PBL) เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลงมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสถานประกอบการ เรียนรู้การวิเคราะห์เชิงระบบ การวางแผนกลยุทธ์และแนวทางแก้ไข ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมและคณาจารย์ เพื่อเสริมสร้างทักษะวิชาชีพที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
วิจัยและพัฒนา (R&D) มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ตลอดจนนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สอดรับกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย คุณภาพ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากล
จัดฝึกอบรมและเสริมศักยภาพบุคลากรในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลายตั้งแต่การบริหารจัดการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้นวัตกรรม เพื่อยกระดับมาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ให้บริการวิชาการแก่สังคม ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ การจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ต่อยอดสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสร้างหลักสูตรหรือโครงการวิจัยร่วม แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ความรู้และนวัตกรรมจากโจทย์จริงของสังคมและอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ หรือการจัดการอย่างยั่งยืน ที่จะช่วยเสริมสร้างทั้งทักษะดิจิทัล ทักษะด้านสิ่งแวดล้อม และวิสัยทัศน์ผู้ประกอบการให้กับนักศึกษา และเชื่อว่าการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและการสร้างสรรค์งานวิจัยที่ใช้ได้จริง จะทำให้นักศึกษา คณาจารย์ และภาคธุรกิจเติบโตไปพร้อมกัน ไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่สากล แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนในอนาคต
……………………………………. @ FTI Academy สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ชี้ไทยต้องการแรงงานทักษะสูงกว่า 1.08 ล้านตำแหน่งใน 10 อุตสาหกรรมอนาคต ปี 2568–2572 นางกนิษฐ์ เมืองกระจ่าง ประธานสายงาน FTI Academy สรุปผลการสำรวจ Thailand Talent Landscape 2025-2029 โดยได้รับเกียรติจากนางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สอวช. และนางสาวภัทรธิรา เกื้อกิ้ม นักยุทธศาสตร์ กลุ่มยุทธศาสตร์กำลังคนและบริหารกลยุทธ์ นำเสนอผลการสํารวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2568-2572
โดยผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านแรงงานจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีความต้องการบุคลากรทักษะสูงกว่า 1.08 ล้านตำแหน่ง ในช่วงปี 2568–2572 ครอบคลุม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การบินและโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ การแพทย์ครบวงจร และอาหารอนาคต
ทักษะสำคัญที่ตลาดแรงงานต้องการ ได้แก่ Data Analytics, AI, วิศวกรรมไฟฟ้า–อิเล็กทรอนิกส์, Mechatronics และ Digital Marketing ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ต้องเร่งมือในการ Upskill และ Reskill รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรให้สอดรับกับอนาคต
………………………………………………. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เสนอแนวทางควบคุมสินค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานคณะ Supply Chain Security สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำคณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมยา และกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าพบเภสัชกรหญิง อรัญญา เทพพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อหารือมุ่งเน้นแนวทางการจัดการปัญหาสินค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งในช่องทางการจำหน่ายทั่วไปและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการใช้ระบบ Traffy Fondue ในการแจ้งเบาะแสและร้องเรียนสินค้า ส.อ.ท. และ อย. พร้อมร่วมมือกันในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นสินค้าที่ผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างมาตรฐานที่เป็นธรรมแก่ภาคอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมดาหลา อาคาร OSSC สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
…………………………………. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผนึกกำลัง ประเทศสวีเดน สร้างโอกาสใหม่ด้านนวัตกรรมและดิจิทัล นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ ประธานสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต้อนรับ Kjell Håkan Närfelt หัวหน้าทีมวางแผนกลยุทธ์ องค์กร Vinnova จากประเทศสวีเดน เพื่อหารือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการพัฒนาระบบนวัตกรรมของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งหารือถึงโอกาสความร่วมมือในอนาคต โดยผู้แทนจาก Vinnova ได้เสนอแนะว่า ประเทศไทยควรใช้จุดแข็งด้านอุตสาหกรรมอาหารและภาคเกษตรกรรม มาต่อยอดสู่การพัฒนา FoodTech ผ่านการส่งเสริมนวัตกรรมเชิงระบบ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ด้วยการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษา เพื่อขับเคลื่อนโครงการนวัตกรรมให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ทั้งนี้ ประเทศสวีเดน ถือเป็นประเทศที่สองในยุโรปที่มีความสัมพันธ์ในระดับ Strategic Partnership กับประเทศไทย โดยมีความร่วมมือในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรม
…………………………………….. @ กกร. ห่วงเศรษฐกิจโตต่ำ-เสี่ยงถูกลดเครดิต วอนรัฐเร่งสร้างเสถียรภาพ นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมในการแถลง
กกร. คาดว่าปี 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund
กกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
กกร. มีความเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
จากที่ กกร. ได้เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้ง
1) ความเปราะบางที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่
2) ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ ขาดการลงทุนพัฒนาผลิตภาพ ขณะที่แรงงานขาดทักษะที่จำเป็น และ
3) ความท้าทายของภาครัฐ จากพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรงและรวดเร็ว และการไม่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงได้เห็นร่วมกันในการจัดทำกรอบแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง สร้างพลวัตใหม่เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดย Reinvent Thailand จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทุกองค์กรแนวร่วม เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย ภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อและส่งเสริมให้เกิดการเร่งปรับตัวและเรียงลำดับความสำคัญ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ โดยมีการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วม ในการออกแบบนโยบาย การกลั่นกรองแนวทาง การขับเคลื่อนการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง (Result Oriented) โดยเน้นการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พลิกฟื้นศักยภาพในการแข่งขัน
Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มประสานเพื่อผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ได้แก่
1) การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยบูรณาการทั้งระบบ เชื่อมโยงข้อมูล นำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ
2) การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการลงทุนในเทคโนโลยี ยกระดับทักษะแรงงานและการผลิตด้วยคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เพื่อสร้างตลาด
ทั้งสองนโยบายเป็นเพียงตัวอย่างของแนวนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในอนาคต โดยแนวทางที่วางไว้ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย สามารถใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล ในการวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพิ่มทักษะ สร้างการจ้างงาน รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้
……………………………………….@สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมหารือคณะผู้บริหารเมืองซิงฮวา มณฑลเจียงซู ประเทศจีน เดินหน้าความร่วมมือการค้า–การลงทุน นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–จีน (TCEII) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยคณะกรรมการสถาบันฯ และนายชุตินันท์ สิริวสุวัตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารจากเมืองซิงฮวา มณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย Mr. Chen Fengjian เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองซิงฮวา โดยมี ดร.ณภัค วรจิรปัญชญา นายกสมาคมนักธุรกิจอาเซียน–จีน และ ดร.ถานันทร์ วัชโรทยางกูร รองประธานสมาคมฯ ร่วมให้การสนับสนุนการเยือนครั้งนี้ เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพอื่น ๆ
การพบปะครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการไทย–จีน พร้อมเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างสองประเทศในอนาคต
……………………………….@ไทย–ลาว เดินหน้าขยายเส้นทางขนส่งใหม่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมผลักดันความร่วมมือปี 2568 นายชัยวุฒิ บรูเซอร์แฟนเกอร์โน กรรมการคณะกรรมการการค้าชายแดนและผ่านแดน สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมหารือด้านการขนส่งทางถนนระหว่างไทย – ลาว ประจำปี 2568 โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย คือ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายลาว คือ ท่านวิไลพัน ไชยะวง รักษาการหัวหน้ากรมการขนส่ง สปป.ลาว ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จังหวัดชลบุรี
การหารือความคืบหน้าการเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ 13 เส้นทาง โดยปัจจุบันเปิดให้บริการ 9 เส้นทาง และพิจารณาแนวทางเปิดเส้นทางใหม่ เช่น ขอนแก่น-เวียงจันทน์ / เชียงใหม่-หลวงพระบาง และน่าน-ไชยะบุรี-หลวงพระบาง รวมถึงรับทราบการดำเนินการเพื่อเปิดเส้นทางการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย – ลาว เส้นทางใหม่ เส้นทางบึงกาฬ – บอลิคําไซ รวมถึงช่วงเชิงสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคําไซ) ซึ่งกรมขนส่ง สปป.ลาวและกรมการขนส่งทางบก ประเทศไทยได้ร่วมลงพื้นที่สํารวจเส้นทางแล้ว เมื่อวันที่ 4 – 7 กันยายน 2566 โดยพร้อมเปิดให้บริการในเส้นทางดังกล่าวทันทีหลังจากการเปิดใช้ สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคําไซ) ซึ่งมีกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2568
นอกจากนี้ ยังหารือข้อเสนอเปิดเส้นทางใหม่ เช่น กรุงเทพฯ-สาละวัน และขอให้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลปริมาณผู้โดยสารเพื่อนํามาประกอบการพิจารณาการเปิดเดินรถในเส้นทางดังกล่าวต่อไป รวมถึงการปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารใหม่สืบเนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน
ประเด็นสำคัญด้านการขนส่งสินค้า อาทิ การจัดทำรายละเอียดมาตรการ (บทแนะนำ) ด้านการขนส่งสินค้าที่ออกภายใต้ดำรัสว่าด้วยท่าเรือบกฉบับใหม่ ซึ่งฝ่ายลาวแจ้งว่าหากดำเนินการแล้วเสร็จจะจัดส่งให้ภายในเดือนตุลาคม 2568 ในส่วนของการจัดตั้งพื้นที่ควบคุมร่วม (CCA) เนื่องจากสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป จึงเห็นควรให้มีการทบทวนแผนเกี่ยวกับการจัดตั้งพื้นที่ควบคุมร่วมกันและขอให้ฝ่ายลาวแจ้งแผนการพัฒนานี้ให้ฝ่ายไทยได้รับทราบเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันต่อไป ในเรื่องของการติดตั้ง GPS ในรถขนส่ง ทั้ง 2 ฝ่ายให้ความเห็นชอบ เนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและสามารถติดตามรถขนส่งสินค้าได้เป็นปัจจุบัน และเห็นชอบให้มีการปรับปรุงความตกลงการขนส่งทางถนนไทย-ลาวให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบปัญหาการไม่ยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศตามความตกลงว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถที่ออกโดยประเทศอาเซียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบางพื้นที่ และขอให้มีการประชาสัมพันธ์ความตกลงฯ ดังกล่าวต่อไป หากมีปัญหาประการใดในอนาคต ขอให้ทั้งสองฝ่ายแจ้งประเด็นปัญหาและข้อเท็จจริงผ่านทางผู้ประสานงานที่ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยฝ่ายไทยรับจะประชาสัมพันธ์การยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป………………………………….@หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล แสงสุข ผู้จัดการสำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์056-245497,081-0428 934 โทรสาร056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti