ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์…………………………………….. @ วันที่ 5 ธันวาคม เริ่มตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ถือเป็น “วันสำคัญของชาติ” กำหนดให้ วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติ ดังนี้ 1)วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 2)วันชาติ และ 3)วันพ่อแห่งชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอให้เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้แต่เดิม วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เป็นวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งมีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2523 และใช้ดอกพุทธรักษา เป็นดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ
สำหรับเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติขึ้น เนื่องจากพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัว รวมถึงสังคมที่ผู้เป็นลูกจะต้องเคารพเทิดทูน พร้อมกับตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ ดังนั้นจึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จัดตั้งเป็น วันพ่อแห่งชาติ ในปี 2567 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2567
ข้าพระพุทธเจ้า ดร.ดารัตน์ ศิริวิริยะกุล วิภาตะกลัศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทันตแพทย์สุพจน์ หวังปรีดาเลิศกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ นายวีรวุฒิ บำรุงไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา คณะกรรมการ คณะทำงาน และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน
…………………………………… @ ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมฯ ชะลอตัว หนุนรัฐเร่ง “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 87.3 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 87.8 ในเดือนกันยายน 2568 ผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ การส่งออกสินค้าคงทนปรับตัวลดลง ปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ การนำเข้าสินค้าจากจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่ยังคงขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ และมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงหดตัวต่อเนื่อง
การปรับตัวลดลงของดัชนีดังกล่าวเป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ การส่งออกสินค้าคงทนปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในหมวดรถยนต์สันดาปและเครื่องปรับอากาศ จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในตลาดออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้ในตลาดจีนและมาเลเซียที่มีคำสั่งซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงประมาณ 0.1% ต่อสัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ โดยรวม นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าจากจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนมกราคม–กันยายน 2568 เพิ่มขึ้นถึง 33.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (+9.78%YoY) เหล็ก (+9.23%YoY) และพลาสติก (+16.28%YoY)
ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่ยังคงขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ ยังคงส่งผลกระทบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ตลอดจนการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมถึงมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2568 มูลค่าการค้ากับเมียนมาลดลงเหลือ 9,401 ล้านบาท (-40.8%) ขณะที่การค้ากับกัมพูชาลดลงเหลือเพียง 11 ล้านบาท (-99.9%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในเดือนตุลาคม ยังมีปัจจัยบวกหลายประการที่ช่วยประคับประคองภาวะเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ เหลือ 30.94 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจและฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหาร หัตถกรรม ของฝาก และเครื่องนุ่งห่ม ขณะเดียวกัน การบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ยังช่วยผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดบริเวณชายแดน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากผลการสำรวจผู้ประกอบการจำนวน 1,335 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนตุลาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่มีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 67.3% เศรษฐกิจโลก 63.1% และอัตราแลกเปลี่ยน (โดยเฉพาะในมุมมองของผู้ส่งออก) 48.1% ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ นโยบายภาครัฐ 48% การเข้าถึงสินเชื่อ 29.1% ราคาพลังงาน 27.1% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 20.4%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 93.5 จากระดับ 91.8 ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากมาตรการ “Quick Big Win” ของภาครัฐ อาทิ มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อรับซื้อและปรับโครงสร้างหนี้เสียภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องและกระตุ้นการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังมีพัฒนาการในเชิงบวก โดยทั้งสองประเทศได้บรรลุกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ไว้ที่ 19% พร้อมให้สิทธิยกเว้นภาษี (0%) แก่สินค้าบางประเภทจากไทย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง โดยสหรัฐฯ จะ ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 47% จากเดิม 57% ขณะที่จีนได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก ซึ่งช่วยคลี่คลายบรรยากาศทางการค้าโลก
แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัยดังกล่าว แต่อุตสาหกรรมไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงบางประการที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะความกังวลต่อปัญหาธุรกิจสีเทา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศด้านการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยในตลาดโลก
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
- เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างให้กับผู้ประกอบการ SMEs ภายใน 30–45 วันนับตั้งแต่ตรวจรับงานเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่อง พร้อมปรับลดวงเงินหลักประกันสัญญาและเร่งคืนให้เร็วขึ้นภายใน 15 วัน
- เสนอให้เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 4.37 ล้านล้านบาท โดยตั้งเป้าเบิกจ่ายอย่างน้อย 33% ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 ตามนโยบาย Quick Big Win เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น
- สนับสนุนให้ภาครัฐดำเนินการปราบปรามและป้องกันธุรกิจสีเทาในทุกมิติ ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนแผนของคณะทำงาน Zero Corruption ของ กกร. ใน 6 ด้าน เพื่อสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเชื่อมั่น และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://fti.or.th/ids
…………………………………… @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผนึกกำลัง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย ขับเคลื่อน NQI สู่สากล นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นผู้แทนร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ด้านการมาตรฐาน กับนายเอกนิติ รมยานนท์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ณ ห้องประชุม PTT Group (1012) ชั้น 10 ส.อ.ท.
ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจอันดี และหาแนวทางที่ ส.อ.ท. จะสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของ สมอ. เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาระบบการมาตรฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมอ. มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. อย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ ส.อ.ท. ในฐานะพันธมิตรหลัก
สำหรับแนวทางการพัฒนา NQI แบ่งเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
- ด้านมาตรฐาน (Standards): จัดทำแผนแม่บทด้านการมาตรฐานระดับชาติ (National Plan for Standards) เพื่อกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก
- ด้านการประเมินความสอดคล้อง (Conformity Assessment): พัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการ ผู้ตรวจสอบ และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องให้เพียงพอและกระจายทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมบทบาทของสถาบันการศึกษา
- ด้านมาตรวิทยา (Metrology): เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบการวัดของประเทศให้สามารถสอบกลับได้ตามมาตรฐานสากล
- ด้านการเฝ้าระวังตลาด (Market Surveillance): ยกระดับระบบตรวจสอบและควบคุมสินค้าในตลาดให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงพิจารณารูปแบบธุรกิจใหม่ที่เหมาะสม โดยทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนากลไกดังกล่าว
การร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ สมอ. ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาระบบนิเวศด้านการมาตรฐานของประเทศไทยให้มีความทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ สนับสนุนศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืน
…………………………………….. @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมพบพันธมิตรนานาชาติ เปิดทาง SME ไทยเชื่อมเครือข่ายธุรกิจทั่วโลก นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) และประธานสายงานสมาชิกสัมพันธ์ กิจกรรม และรายได้ ได้รับเชิญจากนายฮาร์ดี้ จันทรา (Hardy Chandra) ประธานหอการค้าอินโดนีเซีย–ไทย (INTCC: Indonesia–Thai Chamber of Commerce) เข้าร่วมเสวนาโต๊ะกลม (Luncheon Meeting) ร่วมกับ สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และนักธุรกิจจากหอการค้าต่างประเทศใน 5 ทวีปทั่วโลก
การหารือครั้งนี้ มุ่งเน้นประโยชน์ที่ประเทศพันธมิตรจะมอบให้แก่สมาชิกภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. รวมถึงแนวทางความร่วมมือที่ ส.อ.ท. จะสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกัน ภายใต้ 3 แนวทางหลัก ดังนี้
- การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจและอุตสาหกรรมระดับนานาชาติ โดยเน้นกลุ่ม SMEs และการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ด้านการส่งออก–นำเข้า
- การสร้างโอกาสในการลงทุนร่วม (Co-Investment) ครอบคลุมทั้งการลงทุนรายเดี่ยวและการร่วมทุน
- การขยายความร่วมมือจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สู่ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมสมาชิก ส.อ.ท. ผ่านหลักสูตร FTI GO Global และ Provincial e-Catalog ซึ่งมุ่งขยายช่องทางการตลาดให้กับสมาชิก ส.อ.ท. และผู้ประกอบการ SME ในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่
Mr. Hardy Chandra (ฮาร์ดี้ จันดรา) – ประธานหอการค้าอินโดนีเซีย–ไทย (INTCC)
Mrs. Flora Susan (ฟลอร่า ซูซาน) – รองประธานหอการค้าอินโดนีเซีย–ไทย (INTCC)
Mr. Sushil Kumar Dhanuka (สุชิน กุมาร ดาร์นูก้า) – ประธานหอการค้าอินเดีย–ไทย
Mr. Karel De Lange (คาเรล เดอ ลังเก้) – ประธานหอการค้าแอฟริกาใต้–ไทย
Mr. Vitaly Kiselev (วิทาลี คีเซเลฟ) – ประธานหอการค้ารัสเซีย–ไทย
Mr. Dimitri (ดิมิทรี) – ผู้แทนหอการค้ารัสเซีย–ไทย
Mr. Jaber Alshehhi (จาเบอร์ อัลเซฮี) – หัวหน้าส่วนงานเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
Mr. Fashid Yousefi (ฟาชีส ยูเซฟฟีร) – หอการค้าอิหร่าน–ไทย
Ms. Claudia Lipert (คลอเดีย ลิเปอร์ต) – กรรมการบริหาร หอการค้าเบราซิล–ไทย
Mr. Mustafa Gamal (มุสตาฟา กามาล) – สถานเอกอัครราชทูตอียิปต์
โดยจะมีการจัดประชุมร่วมอย่างเป็นทางการระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าแห่งประเทศไทย และสถานทูตพันธมิตรนานาชาติ เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
…………………………………… @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คว้ารางวัล “การประสานงานดีเด่น” จาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยกย่องผลงานสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย นายถาวร กนกวลีวงศ์ รองประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้ารับรางวัลประเภท “การประสานงานดีเด่น (Coordination Excellence Award)” ในงานมอบรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจ (SME Service Provider) ดีเด่น ประจำปี 2568 จัดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ณ โรงแรมควีนส์แลนด์
งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผู้ให้บริการทางธุรกิจ (BDSP) ที่มีผลงานโดดเด่นในการสนับสนุนและยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ไทย รวมทั้งสิ้น 10 รางวัล
รางวัล “การประสานงานดีเด่น (Coordination Excellence Award)” เป็นรางวัลที่มอบให้แก่หน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสถาบันฯ ในการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บริการของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริการที่ผู้ประกอบการ SMEs ให้ความสนใจมากที่สุดในหมวด “ช่องทางการตลาดในประเทศ/ต่างประเทศ” โดยมีผู้ประกอบการได้รับเงินอุดหนุนรวมกว่า 80 ล้านบาท
…………………………………….. @ จีน คู่ค้าอันดับ 1 ของไทยยาวนานกว่าทศวรรษ จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 13 ปี ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นและการเติบโตของการค้าในทุกมิติ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย–จีนในปี 2568 (มกราคม–กันยายน) อยู่ที่กว่า 3.62 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.98 ล้านล้านบาท ในปี 2556 คิดเป็นการขยายตัว 82.8% ตลอดช่วง 13 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 330,624 ล้านบาท ในปี 2556 เป็นประมาณ 1.59 ล้านล้านบาท ในปี 2568 (มกราคม–กันยายน) เพิ่มขึ้นกว่า 382% ซึ่งสะท้อนถึงการพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในหลายหมวดสินค้า
ด้านโครงสร้างสินค้า สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้านำเข้าหลักจากจีนมายังไทย ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์
ไทยมีแนวโน้มส่งออกสินค้าเกษตร วัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ขณะที่จีนส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนถึงความแตกต่างของโครงสร้างการค้าและห่วงโซ่การผลิตระหว่างสองประเทศ แม้มูลค่าการค้ารวมจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ความไม่สมดุลทางการค้า ระหว่างไทยและจีนยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เพื่อให้การเติบโตของการค้าระหว่างสองประเทศเกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ที่มา กระทรวงพาณิชย์ (ข้อมูล ณ กันยายน 2568) จัดทำโดย สถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–จีน (TCEII) สายงานการค้าและการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
…………………………………….. @ น้ำท่วม พายุ หรือวิกฤตไม่คาดคิด อาจทำให้ธุรกิจสะดุด แต่…คุณไม่จำเป็นต้องหยุดเดินต่อ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ขอเป็นแรงหนุนให้คุณฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วยมาตรการ พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 3 เดือน ชำระเฉพาะดอกเบี้ยตามจริง ลดภาระเพิ่มโอกาสตั้งหลักใหม่ SMEsที่เป็นลูกหนี้กองทุนฯ และอยู่ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ สามารถยื่นสิทธิ์ได้ทันที! เพราะเรารู้ว่า…ในยามวิกฤต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโอกาสให้ธุรกิจยังไปต่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือ SME D Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ โทร. 1357…………………………………………………….. @หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์ สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล แสงสุข ผู้จัดการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์ 056-245497,081-0428 934 โทรสาร 056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti



