กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ออกประกาศฉบับใหม่ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569
ประกาศฉบับนี้ถือเป็นการยกระดับวิชาชีพผู้ทำบัญชีครั้งสำคัญ โดยเน้นการกลั่นกรองคุณภาพผู้ทำบัญชีรายใหม่ผ่านการทดสอบ และปรับปรุงหลักเกณฑ์การพัฒนาความรู้ต่อเนื่อง (CPD) ให้กระชับและเข้มข้นยิ่งขึ้น บทความนี้มุ่งสรุปประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและความต้องการความโปร่งใสในข้อมูลทางการเงิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงได้ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้ทำบัญชี เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและบริบททางธุรกิจในปัจจุบัน โดยสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในประกาศฉบับใหม่ (พ.ศ. 2568) ครอบคลุมทั้งคุณสมบัติของผู้ขึ้นทะเบียนรายใหม่ และเงื่อนไขการปฏิบัติงานของผู้ทำบัญชีปัจจุบัน
กำหนดเวลาบังคับใช้ (Effective Date)
- วันที่มีผลบังคับใช้: 1 มกราคม 2569
- บทเฉพาะกาล: ผู้ที่เป็นผู้ทำบัญชีอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ จะได้รับสิทธิยกเว้นไม่ต้องทดสอบความรู้ หากยังคงรักษาสถานภาพสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีและปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่อง
คุณสมบัติของผู้ทำบัญชี (Qualifications)
ผู้ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชี ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ดังนี้ :-
– ถิ่นที่อยู่ : มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย
– ความรู้ภาษาไทย : มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้
– คุณวุฒิการศึกษา (แบ่งตามขนาดธุรกิจ) :
o กลุ่ม 1 (ธุรกิจขนาดเล็ก) : ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท, สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ➜ ใช้วุฒิ ปวส. หรือ อนุปริญญา ทางการบัญชีขึ้นไป
o กลุ่ม 2 (ธุรกิจขนาดใหญ่): ธุรกิจที่มีขนาดเกินกว่ากลุ่ม 1 ➜ ใช้วุฒิ ปริญญาตรี ทางการบัญชีขึ้นไป
– สมาชิกภาพ: ต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี
– การทดสอบ (เกณฑ์ใหม่!): ผู้ขึ้นทะเบียนรายใหม่ (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป) ต้องผ่านการทดสอบ (Assessment) ผ่านระบบ e-Learning หรือระบบทดสอบที่กรมฯ กำหนด เพื่อยืนยันความรู้ความสามารถก่อนเริ่มงาน
เงื่อนไขและหน้าที่ของผู้ทำบัญชี (Duties & Conditions)
เมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้ทำบัญชีต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลัก ดังนี้:
-การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (CPD) ผู้ทำบัญชีต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปีปฏิทิน โดยมีสัดส่วนบังคับ ดังนี้ :-
- เนื้อหาด้านการบัญชี : ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง
- เนื้อหาด้านจรรยาบรรณ : ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง (ข้อกำหนดใหม่ที่ระบุชัดเจน)
- ข้อยกเว้นปีแรก : หากแจ้งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีปีแรกและมีระยะเวลาเหลือน้อยกว่า 3 เดือน (ต.ค. – ธ.ค.) ไม่ต้องเก็บชั่วโมง CPD ในปีนั้น
-การชดเชยชั่วโมง CPD (กรณีเก็บไม่ครบ) ประกาศใหม่ปรับลดเพดานการชดเชยเพื่อให้ผู้ทำบัญชีตื่นตัวยิ่งขึ้น
- เดิม : ชดเชยได้สูงสุด 24 ชั่วโมง
- ใหม่ : ชดเชยได้สูงสุด ไม่เกิน 12 ชั่วโมง และชั่วโมงที่ชดเชยต้องเป็น เนื้อหาด้านบัญชีทั้งหมด
- หมายเหตุ : หากขาดเกินเกณฑ์นี้ จะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติและต้องเริ่มกระบวนการใหม่ (รวมถึงอาจต้องสอบใหม่สำหรับรายใหม่)
การรับงานและการยืนยันรายชื่อ
- จำนวนธุรกิจ : รับทำบัญชีได้ไม่เกิน 100 ราย ต่อปีปฏิทิน (นับรายนิติบุคคล)
- การยืนยัน : ต้องยืนยันรายชื่อธุรกิจที่รับทำบัญชีผ่านระบบ e-Accountant ภายใน 30 วันนับจากวันรับทำบัญชี และต้องยืนยันสถานภาพสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีทุกปี
บทสรุป
ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 มุ่งเน้นการคัดกรองคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง (Entry Requirement) ด้วยการเพิ่ม “การทดสอบความรู้” สำหรับผู้ทำบัญชีรายใหม่ และสร้างวินัยในการพัฒนาตนเองผ่านเกณฑ์ CPD ที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการบังคับชั่วโมงจรรยาบรรณและการจำกัดเพดานชั่วโมงชดเชย ผู้ทำบัญชีและผู้ประกอบการจึงควรศึกษาระเบียบใหม่นี้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ในปี 2569 เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมายในอนาคต
ที่มา : https://gemini.google.com/app/949b96c8f95b3b9f?hl=th
อาจารย์ปานทิพย์ แสนสง
ประธานหลักสูตรบัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา



