- ตอน : บางกอก…นรกขุมที่14
ได้ประจักษ์ข้อมูลอันตรายจาก “กรุงเทพฯร้อน!” แล้วอ่อนใจ
พาดหัวบทความหน้าที่ 9 ของเดลินิวส์ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 Sustain Daily ยั่งยืนได้ทุกวัน แล้วรู้สึกหมดอาลัยในชีวิต ถ้าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษา 4 ปี ทำงานในโรงเรียนพณิชยการเอกชนในละแวกฝั่งธนบุรีอีก 3 ปี เหมือนเมื่อ 42 ปี ที่ผ่านมา
เห็นท่าว่าผมจะต้องได้รับการบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่ควรจะเสียชีวิตเพราะความร้อนในเมืองหลวง 2,300 คนในแต่ละปี ตามคุณสมบัติผู้สูงอายุเกิน 65 ปี ประมาณ 1 ล้านคนของประชากรในเมืองกรุง ที่สมควรตายในกรณีที่อุณหภูมิเฉลี่ยในกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร สมเป็นนครมหาธานีเพิ่มสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ในฐานะประชากรกลุ่มเปราะบาง
โดยที่คุณสมบัติเรื่องหนังเหี่ยวหนังเหนียวไม่สามารถช่วยบรรเทาผ่อนปรนหรือยกเว้นโทษานุโทษในกรณีที่เป็นผู้สมควรตายในสถานการณ์กรุงเทพฯร้อนราวเตาไฟนรก
เดลินิวส์ฉบับดังกล่าว พาดหัวบทความกระชากความสนใจใคร่รู้ของ ผู้ดู ผู้ชม ผู้อ่าน เอาไว้ว่า…
“คนอาจตายมากขึ้น ถ้ากรุงเทพฯร้อนขึ้น 1 องศา มูลค่าเศรษฐกิจเสียหาย 6.1 หมื่นล้าน”
ถ้อยคำในพาดหัวบทความขู่เพียงคนอาจจะตายมากขึ้น โดยไม่ได้แว้ง แวะ หรือแขวะไปถึงสัตว์เลี้ยง เช่น ช้างม้าวัวควาย เป็ดไก่ หมูหมาแมว หรือ ปลาหมอคางดำ
ธนาคารโลกประจำประเทศไทย รวมหัวกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) ประกาศคำข่มขู่โดยเลี่ยงว่าเป็น คำเตือน ความว่า….
“ปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง เป็น 1 ปัจจัยหลักที่ทำให้กรุงเทพฯ มีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่สิ่งก่อสร้างหนาแน่น อาคารสูง ตึกระฟ้า คอนโดฯ แตะนภา และพื้นคอนกรีตบนพ่างพื้นธรณี ในขณะที่พื้นที่สีเขียวของแมกไม้หายลับไม่กลับคืนมา พื้นพสุธาจึงแห้งแล้งรุ่มร้อนประหนึ่งทะเลทรายสะฮาราฉะนั้น…แล!”
ผู้เขียนบทความไม่ได้ใช้ภาษาสวิงสวายอย่างที่ผมนำเสนอ แต่ทว่าเนื้อหากระเดียดไปในทำนองนั้น
พื้นโลกในเมืองหลวงจะไม่ร้อนตับแล่บจนผู้คนต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ปีละประมาณ 2,300 คนได้อย่างไร ในเมื่อกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยตึกคอนกรีต อาคารบ้านเรือน สถานที่ราชการ วัดวาอารามล้วนแล้วไปด้วยอิฐหินปูนทราย ซึ่งมีความสามารถลับๆ ว่าสามารถถนอมความร้อน เก็บกักดูดซับความระอุของรังสีอุลตราไวโอเล็ตอันร้อนรุ่มที่ทะลุช่องโหว่ของชั้นบรรยากาศลงมากระแทกพื้นผิวโลกได้อย่างถนัดใจ หลังจากชั้นบรรยากาศที่หนาหนักกว่าผ้านวมนับแสนล้านโกฏิอสงไขยผืน
แต่ต้องมาขาดเป็นรูโหว่จากน้ำมือของมนุษย์ที่ผลิตคลอโรฟลูออโรคาร์บอนให้ลอยขึ้นไปถล่มชั้นบรรยากาศให้ขาดเป็นช่องโหว่โตกว้าง
ข้อมูลทางการศึกษาของธนาคารโลกระบุว่าระหว่างปี 2503,-2543 อุณหภูมิในกรุงเทพฯสูงเกิน 35 °C เฉลี่ย 60-100 วันในรอบ 1 ปี
แต่เมื่อก๊าซเรือนกระจกในโลกซึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์ยังเร่งผลิตเพื่อกำนัลภูมิอากาศโลกอย่างไม่ลดราวาศอก อีก 85 ปี (พ.ศ. 2643) อุณหภูมิในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรจะร้อนเกิน 35 องศาเพิ่มขึ้นเป็น 153 วัน ต่อปี
และในเวลาอีก 5 ปี กรุงเทพฯจะร้อน 30.5 องศาเซลเซียสปีละ 250 วัน
อ่านหรือรับรู้แล้วรู้สึกสยองโดยไม่ต้องพยายามเสแสร้งหรือฝืนใจ
และเมื่ออุณหภูมิในกรุงเทพฯ เมืองคอนกรีตซึ่งอัตคัดป่าเขาลำเนาไพร หนองน้ำกว้างใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่กลับมีแต่ตึกสูงเสียดฟ้า อาคารคอนกรีต เจดีย์ระดะแซงเสียดยอด สะพานลอยรถข้าม ถนนคอนกรีต ทางเท้าคอนกรีต รถเมล์ รถยนต์ ทำจากโลหะที่ช่วยกันดูดความร้อนลงสู่พื้นโลก ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองร้อนที่สุดในเอเชีย
ยิ่งรถยนต์สีดำ หลังคาอาคารบ้านเรือนสีเข้มสีดำ ผนังตึกบาร์สีเข้มทึบ เต็นท์สีดำ เสื้อผ้าสีดำ ถนนลาดยางสีดำ ขนมเปียกปูนในถาดบนรถซาเล้งขายขนมไทยสีดำสนิทกะละมังเฉาก๊วยสีดำสนิทไม่มีฝาปิด หงายถาดหงายกะละมังขึ้นดูดความร้อนจากฟากฟ้าดังจ๊วบๆๆ
กรุงเทพฯหรือโลกจะไม่รุ่มร้อนราวเตาไฟนรกในอเวจีขุมที่ 14 ได้อย่างไร? และกรุงเทพฯที่ร้อนขึ้น 1 องศาจะพาความตายมามอบให้ประชาชนพลเมืององศาละ 2,300 คน ต่อปี สูญเสียค่าจ้างแรงงานที่ไม่สามารถทนความร้อนได้ 44,000 ล้านบาทต่อปี ต้องเปิดแอร์ใช้ไฟฟ้าผลิตไอศกรีม แช่เบียร์ให้เย็น ทำน้ำแข็งฯลฯ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มเป็น 17,000 ล้านบาท ต่อปี
ถนน สะพาน ตึกรามคอนกรีตต้องเสื่อมสลายเร็วกว่าเดิม ต้องพังต้องซ่อมบ่อยกว่าเดิม เสียงบประมาณบ้านเมืองหนักหนาสาหัสกว่าเดิม
กรุงเทพมหานครเตรียมแผนการณ์ ที่ยิ่งใหญ่แยบยลและยอดเยี่ยมระยะสั้นไว้ต้อนรับปัญหานี้เรียบร้อยแล้วด้วยการ….
จัดศูนย์พักคลายร้อน….ฮา!
ตั้งจุดบริการน้ำดื่มสะอาดเย็นๆเหยาะน้ำยาอุทัยเอาไว้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงต่อความร้อนสูง…ฮ่า!
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมขำกลิ้งแล้วกลิ้งอีก หมดแรงกายแรงใจที่จะอ่านต่อในแผนการณ์แก้ไขระยะยาว!!!…ฮา! #
//////////////////////////////
โดย “โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ”