- ตอน ‘ด้านได้ อาย…อด !’
กิรดังได้สดับมา…ในดินแดนชมพูทวีป อินเดีย การแบ่งชนชั้นวรรณะยังเข้มข้น เคร่งครัด ชัดเจนและหฤโหดอย่างที่บุคคลภายนอกประเทศ นอกวงการ นอกความรับรู้จะคาดถึง ถึงขั้นตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่าการเหยียดชนชั้นวรรณะของอินเดียรุนแรงโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
ในวัฒนธรรมของชาวภารตะ สตรีต้องเป็นฝ่ายสู่ขอ “เจ้าบ่าว” โดยต้องเสียสินสอดทองหมั้นให้ตามที่ฝ่ายชายเรียกร้อง
เมื่อแต่งงานแล้วเจ้าสาวต้องเข้าไปอยู่ในครอบครัว(ตระกูล) ของเจ้าบ่าว วันดีคืนดีเจ้าบ่าวนึกสนุกเกิดความโลภเรียกสินสอดเพิ่มเติมทั้งที่อยู่กินกันแล้วอย่างหน้าด้านๆ
ถ้าเจ้าสาวหาเงินทองให้ครอบครัวเจ้าบ่าวไม่ได้ เจ้าบ่าวก็จะเฉดหัวเจ้าสาวให้ออกไปให้พ้นตระกูล แล้วหาเหยื่อรายต่อไปมาเป็น “เจ้าสาว” และเรียกเงินสินสอดรายใหม่ให้เต็มเหนี่ยว
แต่ถ้าเจ้าสาวคนเก่ายังดื้อแพ่ง ยอมทู่ซี้กอดขาเจ้าบ่าวไม่ยอมห่าง เพราะบูชาความรัก หมดทางไป หมดตัว และหมดหนทางหาเงินทองมาปรนเปรอเจ้าบ่าว
‘วันเลวคืนร้าย’ ก็จะเกิดอุบัติเหตุไฟทิพย์ลุกท่วมตัวเจ้าสาวใน ‘เขตรั้วไพศาลของบ้านทรายทองที่เธอปองมาสู่’
ในสังคมของอินเดีย ได้ข่าวว่ากฎหมายไม่สามารถเอาผิดฝ่ายครอบครัวสามีได้ เพราะไม่มีหลักฐานประจักษ์พยานว่าเป็นเหตุการณ์ฆาตกรรม
หากแต่เป็นเหตุปาฏิหาริย์ในธรรมชาติที่อยู่ๆก็เกิดไฟทิพย์ลุกท่วมกายฝ่ายภรรยา โดยไม่มีใครในรั้วบ้านทรายทองสามารถช่วยชีวิตเธอได้อย่างทันท่วงที
หน้าด้านกันถึงเพียงนี้โดยไม่มียางอาย ไม่มีความเมตตาปราณี เพราะถ้าหน้าไม่หนาพอ ก็จะไม่ได้เงินทองของบาดใจที่เป็นยอดปรารถนาของ ‘อนาถาชน’ คนใฝ่ทรัพย์
นอกจากทรัพย์สินเงินทองของบาดใจ ยังมีตำแหน่งแห่งหนในองค์กรในแวดวงราชการของบ้านเมือง ในวงการ “การเมือง” การธุรกิจสังคมที่บุคคลส่วนหนึ่งในสังคมมุ่งหวัง ตะเกียกตะกายปีนป่าย ไขว่คว้า หามาปรนเปรอกิเลสตัณหาของตนและตระกูล โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมจริยธรรมและคุณธรรมในทุกประการ
เพราะตำแหน่งแห่งที่ในวงการราชการ ในแวดวงการเมือง การค้า ธุรกิจในสังคม เป็นหนทางในการหาผลประโยชน์ ตักตวง กอบโกยผลประโยชน์อันมิควรได้เข้าสู่กระเป๋าของตน เครือญาติและครอบครัว
ตำแหน่งในทางราชการระดับอำเภอ บางอำเภอในประเทศสารขัณฑ์ ก่อนหน้านี้ต้องซื้อตำแหน่งด้วยเงินสดหลายแสนรูปี จนถึง 10 แสนเปโซ แล้วพัฒนามาถึงระดับ 3-5 ล้านกีบ
ตำแหน่งในระดับจังหวัด บางจังหวัด ก่อนนี้ต้องซื้อด้วยเงินล้านที่ยังไม่เกินหลักหน่วย แล้วพัฒนาไปจนถึงหลัก 10 ล้านกีบ ในกรณีที่ตำแหน่งนั้นมีผลประโยชน์มากมายกว่า 30 – 50 ล้านด่องต่อ 1 ปีงบประมาณ
ต่อมาพัฒนาไปถึง 30 ล้านริงกิตในหน่วยงานที่มีงบประมาณนับ 100 ล้านดอลล่าร์หรือหลายร้อยล้านยูโร/ปี
ตำแหน่งสูงสุดของจังหวัด , ภาค ในประเทศสารขัณฑ์นั้นไม่ต้องพูดถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายในการ “ซื้อตำแหน่ง” เพราะสูงกว่าระดับหัวหน้าส่วนระดับจังหวัด 2 – 3 เท่า
หากไม่สามารถจ่ายได้ในงวดเดียว ก็มีองค์กรธุรกิจระดับ‘เจ้าสัว’ยินดีจ่ายให้ไปก่อน แล้วผู้นำสูงสุดในองค์กรนั้น ภูมิภาคนั้นก็ค่อยๆทยอยผ่อนส่งหนี้สินที่กู้ไปซื้อตำแหน่งในรูปของเงินสด หรือในรูปของโครงการรับเหมา ฯลฯ ของทางราชการให้ฝ่าย ‘นายเงิน’ ได้งานไปในราคามิตรภาพ
จนกว่าจะสิ้นหนี้สินตามปฏิญญาที่ลักลอบลงนามกันเอาไว้ในที่ลับก่อนรับตำแหน่ง
การเรียกค่าหัวคิวหรือค่าซื้อตำแหน่ง แม้จะเรียกรับโดยข้าราชการผู้มีตำแหน่งสูงสุดในองค์กรในส่วนกลาง แต่ก็ต้องมีภาระส่งส่วยขึ้นไปถึงนักการเมืองที่มีตำแหน่งสูงสุดในองค์กรนั้น ที่เหาะเหินมาครอบครอง มาเคลมตำแหน่งเจ้ากระทรวงนั้นๆ…ที่ซื้อสิทธิครอบครองมาจาก ‘ตัวใหญ่สุด’ ในฝ่ายบริหารของประเทศ
เพราะ “นักการเมือง” สูงสุด 1 เดียวใน ‘อุตรกุรุทวีป’ ในบางยุคบางสมัยในบางคณะรัฐบาล ผู้อวย ผู้อำนวย ผู้ประสาทตำแหน่งแห่งหนให้ ‘เจ้ากระทรวง‘ ก็กำลังอ้าปากรอรับทิพยาหารอยู่ปลายน้ำ โดยบางยุคก็จะมี ‘ซูสีไทเฮา’ แอบนั่งบังอยู่หลังม่าน บัญชาการปกครองอยู่ห่างๆ
เจ้ากระทรวงใดที่ภักดีสูงสุดเหมือนสุนัขที่ภักดีต่อเจ้าของ ต้องสามารถเสาะหาเงินทองของต้องใจมากองให้เหมือนภูเขาเลากา ให้เจ้าของหมานำไปปรนเปรอสมาชิกในตระกูลได้ไม่ขาดสาย
แม้ประเทศจะเสียหายก็ไม่นำพา ขอเพียงตัวข้าได้เสวยตำแหน่งเสนาบดีที่เป็นตำแหน่งแห่งเงินและอำนาจบาตรใหญ่…ตลอดไป
ขอเพียงลูกพี่ร่ำรวย สามารถอวยตำแหน่ง ไม่ติดคุกติดตะรางเพราะวางแผน วางหมาก วางกลศึก เขียนกฎหมายพิลึกๆรอ ไว้หลายปีแล้ว
เพียงเท่านี้ก็สำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายให้ “นายพ้นคุก”
นี่คือภาระหน้าที่ของ ‘คนดีย์ที่ซื่อสัตย์ของแผ่นดิน‘ ผู้กล้าบ้าบิ่นที่จะท้าชน ข่มขู่กลุ่ม ผู้มีการศึกษาสูง ที่มีสมองเป็นเลิศในสังคม เพื่อเสนอ ‘ทุรกรรมล้ำนรก‘ ให้นายทาสได้ประจักษ์ ‘สมศักดิ์ศรี…..คนดี 4 โมงเย็น’…โดยแท้
โดย “โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ”