พายุวิภาถล่มเมืองน่านเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 น้ำท่วมบริเวณแอ่งกระทะในเขตเทศบาลเมืองน่านอ่วมอรไท ระดับน้ำสูงที่สุดในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา ความเสียหายหนักเหมือนคราวปี 2554 ที่น้ำท่วมเมืองปากน้ำโพ และท่วมจังหวัดภาคกลางของไทยบรรลัยวอดวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พายุวิภาผ่านไป พายุคาจิกิตามซ้ำกระหน่ำ เคราะห์ดีที่ไม่ซ้ำเติมพื้นที่อุทกภัยในจังหวัดเดิมที่เคยเสียหายเมื่อครั้ง “พายุวิภา”
เมื่อพายุคาจิกิผ่านไป พายุหนองฟ้าติดตามมาทำลายเมืองไทยเป็นลูกที่ 3 ในรอบ 2 เดือน
ทุกครั้งที่เกิดพายุลูกใหญ่ๆ อุทกภัยจะตามมาในฐานะคู่แฝด
สถานการณ์น้ำท่วมเมืองไทยในอดีต เป็นเรื่องปกติธรรมดาของประเทศไทยที่จะมีเหตุการณ์น้ำท่วมอยู่เนืองๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องพิเศษที่น่าตกใจหรือแปลกใจ เพราะสังคมไทยในอดีตใช้เรือเป็นยานพาหนะในการเดินทาง เมื่อน้ำท่วมเรือก็ไม่เสียหายแต่ประการใด?
แต่สถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนไปในทางก้าวหน้า พาให้สายน้ำหดหาย ยานพาหนะทางน้ำค่อยๆสูญไป ได้รถยนต์ รถจักรยานยนต์มาทดแทนในฐานะยานพาหนะทางบก
เมื่อน้ำท่วมรถยนต์ก็เสียหายหนัก การเดินทางก็ติดขัด บ้านเมืองแทบจะกลายเป็นอัมพาต เพราะระบบคมนาคมทางบกใช้การไม่ได้ไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ยิ่งอาคารบ้านเรือนชั้นเดียว หรือบ้านที่ยกพื้นชั้นล่างแต่ยกขึ้นในระดับเตี้ยๆสูงเพียงเข่า หรือสูงเพียงเอว ซึ่งหลายสถานการณ์ก็ไม่พ้นระดับน้ำ ไม่พ้นภัยจากอุทก
บริเวณของพื้นที่น้ำท่วมในเมืองไทยจึงเป็นอัมพาตทั้งด้านที่อยู่อาศัยและการคมนาคมแรมเดือนหรือแรมหลายเดือน
อาคารบ้านเรือน ร้านตลาด สถานที่ราชการ ร้านค้า วัดวาอาราม ต้องจ่อมจมน้ำในยามเกิดอุทกภัย ข้าวของเครื่องใช้เสียหาย เพราะไม่สามารถยกย้ายหนีน้ำได้ทุกชิ้น เพราะบ้านชั้นเดียวไม่เหลือที่ว่างให้ยกย้ายข้าวของหนีน้ำได้ ยกเว้นหนุนตู้โต๊ะเตียงให้พ้นน้ำ
หากเป็นบ้าน 2 ชั้นก็ไม่สามารถยกตู้ โต๊ะ เตียง เฟอร์นิเจอร์ ทั้งหลายขึ้นไว้บนชั้น 2 เพื่อหนีน้ำได้ทุกชิ้น เพราะต้องใช้พื้นที่ชั้น 2 ของบ้านเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหลับนอน
ไม่สามารถรองรับตู้โต๊ะเตียงฯลฯ ที่ยกย้ายหนีน้ำท่วมได้หมด
แล้วเราก็ต้องสยบยอมกับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมอุทกภัยในทุกๆครั้ง
แต่ชาวบ้านร้านถิ่นในตลาดบางลี่ บ้านบางลี่ ตำบล/อำเภอสองพี่น้อง เมืองสุพรรณบุรี ไม่สยบยอมกับสถานการณ์อุทกภัยในทุกๆปี?
ในอดีตชาวตลาดบางลี่สร้างห้องแถวไม้ 2 ชั้น เพื่อทำมาค้าขายและใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่สามารถอยู่อาศัยและทำมาค้าขายได้ทุกฤดูกาล ด้วยภูมิปัญญาของคนสุพรรณบ้านบางลี่ในกาลก่อน
ห้องแถวไม้ของชาวตลาดบางลี่จะมีระเบียงบ้านชั้นบนหน้าบ้านทุกหลังเชื่อมถึงกันตลอดทั้งตลาด สามารถใช้ระเบียงหน้าห้องแถวชั้นบนเดินไปมาหากันได้ในฤดูน้ำหลาก เพราะต้องขนย้ายสินค้าข้าวของเครื่องใช้ขึ้นไปไว้บนชั้น 2 ของห้องแถว ในยามที่ร้านค้าชั้นล่างถูกน้ำท่วม
แม้น้ำจะท่วมห้องแถวไม้ชั้นล่าง ที่เปิดเป็นร้านค้าร้านขายของในฤดูอื่นๆ แต่เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก พ่อแม่พี่น้องชาวตลาดบางลี่ ตำบล/อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ก็สามารถซื้อขายว่ายล่องได้คล่องๆเป็นปกติ
เพราะภูมิปัญญา ตลาด 3 ฤดู ที่สามารถทำมาค้าขายได้ทั้งฤดูร้อน ฤดูหนาว และฤดูฝนหรือฤดูน้ำหลาก น้ำท่วม ที่บ้านอื่นเมืองอื่นต้องลำบากลำบนขนย้ายของหนีน้ำและไม่สามารถทำมาค้าขายได้ เพราะความไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง
แต่ชาวบ้านบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง เมืองสุพรรณบุรี สามารถหนีน้ำขึ้นไปทำมาค้าขาย และอยู่อาศัยดำรงชีวิตประจำวันอยู่บนบ้านชั้นบนได้ตามปกติ
ลูกค้าพายเรือมาเทียบบันไดหน้าร้าน แล้วขึ้นไปเดินไปมาเพื่อซื้อสินค้า ข้าวปลาอาหารบนระเบียงทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมเข้าหากันตลอดทั้งย่าน ไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับสถานการณ์น้ำท่วม
พอสิ้นฤดูน้ำหลาก ก็ยกย้ายสินค้าลงมาค้าขายกันที่ร้านค้าล่างของบ้าน(ห้องแถว) ที่กวาดล้างขัดถูทำความสะอาดคราบโคลนตะไคร่น้ำจนเรียบร้อยแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ตลาด 3 ฤดู ของบ้านบางลี่ต้องสูญสลายกลายสภาพไปเป็นตึกแถวสมัยใหม่ ระเบียงหน้าบ้านชั้นบนก็สูญหายไป นิหนำซ้ำยังถมพื้นที่ตลาดให้สูงพ้นน้ำ เพื่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่โอ่อ่าหรูหรา
แต่ทว่าคราใดที่ระดับน้ำยังตามมาท่วมสูงจนท่วมชั้นล่างของอาคารร้านค้า กลับไม่สามารถยกย้ายข้าวของสินค้าขึ้นไปขายบนบ้านชั้น 2 ซึ่งเคยมีระเบียงที่ประดุจสกายวอล์กในอดีต เพราะภูมิปัญญาที่เป็นมรดกไทยในการหนีน้ำ ได้มลายหายสูญไปกับความเจริญกับคำว่าพัฒนา จนไม่สามารถไขว่คว้ากลับคืนมาได้ในวันนี้
หรือเพราะผู้คนในยุคนี้ โง่เขลาเบาปัญญากว่าบรรพบุรุษไทยในตลาดบางลี่ บ้านบางลี่ ตำบล/อำเภอสองพี่น้องของเมืองสุพรรณฯ กันหรือหนอ?
———————
โดย “โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ”