- ตอน : สระเก็บน้ำในท้องทุ่งนา
ตลอดห้วงเวลาที่ฝนกระหน่ำเมืองไทยอย่างหนักด้วยอิทธิพลดีเปรสชั่น หรือ พายุโซนร้อนกำลังแรง ที่อ่อนแรงจากไต้ฝุ่นที่พัดขึ้นสู่แผ่นดินใหญ่แถบอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ เมืองเวียดนาม ผมเฝ้าแต่คิด.เสียดายปริมาณน้ำฝนที่ไหลบ่าท่วมทุ่งท่วมท่า ท่วม อาคารบ้านเรือน อาคารร้านตลาดในชุมชนเมืองแล้วปล่อยให้ไหลทิ้งลงทะเลไปโดยไร้ประโยชน์
‘ในหลวง’ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ในการจัดหาน้ำ สำรองน้ำท่าเอาไว้ให้ราษฎร ซึ่งรวมทั้งเกษตรกรไร่นาสวนได้มีน้ำใช้ น้ำรดต้นไม้ผล ไม้ดอก พืชผักสวนครัว และข้าวกล้าในท้องนา ด้วยการทำ แก้มลิง หรือแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ หรือกักเก็บน้ำเอาไว้บรรเทาภัยแล้งทางการเกษตรเป็นหลัก
แต่สังคมไทยก็ยังไม่ค่อยจะได้ยินข่าวคราวการขุดแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อทำ แก้มลิง อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตามแนวพระราชดำริที่ ‘ในหลวง’ รัชกาลที่ 9พระราชทานเพื่อปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน
ในขณะที่แก้มลิงไม่เกิดให้พราวไปทั้งแผ่นดินที่แล้งน้ำ หรือแผ่นดินที่ห่างไกลแหล่งน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และคลองชลประทาน คลองส่งน้ำ คลองซอย คลองไส้ไก่ ก็ยังไม่มากมายเพียงพอที่จะเอื้อประโยชน์แก่ราษฎรอย่างทั่วถึง ก็เหลือทางเดียวคือพี่น้องชาวนาฯ ต้องดิ้นรนหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการทำนาด้วยตนเอง หรือด้วยกลุ่มเกษตรกรของตำบลหมู่บ้านของตน ตามพุทธสุภาษิตที่ว่า
อัตตาหิ อัตโน นาโถ หรือ “ตนนั่นแล ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน”
แต่…เราก็ยังไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อน้ำ สระน้ำ หนองน้ำ ตามท้องทุ่งท้องนา ไม่ว่าจะในตำบลหมู่บ้านใดที่จะมีแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อการดื่ม การ ใช้สอย ซักล้าง อาบ มากมาย พร่างพรายตา ดั่งปรารถนาของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ที่มุ่งมั่นพระราชทานเรื่องแหล่งน้ำเพื่อราษฎรและเกษตรกร
ผมเคยคุยกับเจ้าของนาที่ไม่ได้ทำนา แต่ให้ชาวบ้านเช่าทำนา เคยคุยกับผู้เช่านาแม้กระทั่งชาวนาที่เป็นเจ้าของนาที่ทำนาในที่นาของตัวเอง ก็เคยนั่งจับเข่าคุยกันมาแล้ว เคยสะเทือนใจในแนวคิดในคำตอบที่แสดงความเห็นแก่ได้ ความเห็นแก่ตัว ซึ่งอยากจะเรียกว่าคิดน้อยหรือเข้าขั้นสิ้นคิด คิดสั้นๆ ไม่ได้คิดยาวไปในอนาคต
หัวข้อการคุยคือ ทำไมไม่ขุดบ่อ ขุดสระเก็บน้ำเอาไว้ทำนา เอาไว้อาบในยามร้อน เอาไว้ซักผ้าล้างจานข้าว ล้างปิ่นโตข้าวที่ใส่ข้าวปลาอาหารไปกินยามเที่ยงในท้องนา บางเวลาก็สามารถนำมาต้มดื่มกินได้ในยามจำเป็น
คำตอบที่ได้รับได้ยินได้ฟังจากชาวนา 3 กลุ่ม แทนที่จะแตกแยกประเด็นไป 3 ทาง ปรากฏว่าต่างตอบไปทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ได้ยินได้ฟังแล้วผมก็หน้าหงาย เพราะคาดไม่ถึง
เจ้าของนาที่ไม่ได้ทำนา แต่ปล่อยผืนนาให้ผู้อื่นเช่าทำนา ตอบว่า ไม่ต้องการขุดบ่อน้ำในท้องนาของตน เพราะไม่ต้องการเสียพื้นที่นาไม่ต้องการเสียรายได้จากการให้ชาวนาเช่าทำนา….!
เมื่อบอกว่าถ้าชาวนามีบ่อน้ำ มีน้ำเอาไว้หล่อเลี้ยงต้นข้าวในนา จะได้มีผลผลิตข้าวเปลือกมากๆ จะได้มีเงินมาจ่ายค่าเช่านา ไม่ต้องค้างค่าเช่าในกรณีที่ผลผลิต ข้าวเปลือกน้อย ได้เงินไม่คุ้มค่าใช้จ่ายที่ลงทุนทำนาในรอบนั้น
เจ้าของนาตอบว่าเป็นหน้าที่ของผู้เข่านาที่ต้องดิ้นรนหาแหล่งน้ำสูบน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวด้วยตัวเอง
ฟังแล้วรู้สึกวังเวงในหัวใจ
เจ้าของนาที่ทำนาเอง ตอบคำถามเดียวกันด้วยคำตอบเดียวกับเจ้าของนารายแรก เหมือนตกลงกันมาก่อน หรือลอกคำตอบกันมา
เจ้าของนาที่ทำนาในที่ของตนเองพื้นที่ 50 ไร่ ตอบว่าขุดบ่อขุดสระไปก็เสียพื้นที่ทำนา…. ฮา!
ครั้นถามว่า ถ้าฝนแล้ง ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าวที่กำลังออกรวงแล้วจะทำอย่างไรเจ้าของนาตอบว่า “ก็ขอให้พวกชลประทานส่งน้ำมาให้ ถ้าไม่ช่วยส่งน้ำมาให้ก็ร้องเรียนนายอำเภอ ร้องเรียนผู้ว่า”…ฮา!
นั่นคือคำตอบของเจ้าของนาที่ให้ชาวนาเช่าทำนา และเจ้าของนาที่ทำนาในที่นาของตนเอง ฟังแล้ววังเวงในหัวใจ
ส่วนคำตอบของผู้เช่านา ( ที่ทำนาในที่นาที่เคยเป็นของตน แต่หลุดจำนองมาหลายปี เพราะต้องหาเงินส่งลูกเรียนในเมืองกรุง แล้วทำนาขาดทุนทุกปี ไม่มีเงินส่งดอกเบี้ย ส่งเงินต้นและไถ่ถอนจำนอง )
ผู้เช่านาตอบว่า “เจ้าของนาไม่ยอมให้ขุดบ่อเก็บน้ำ เขาบอกว่าทำให้ที่นาของเขาเสียหาย ผมยังเสียดายว่าสมัยที่ผืนนายังเป็นของผม ผมน่าจะขุดบ่อเก็บน้ำทำนาเอาไว้เจ้าของใหม่จะได้ไม่กล้าถมบ่อน้ำเดิม”
ผมถามว่าถ้ามีเงินไถ่ถอนหรือซื้อนากลับคืน จะขุดบ่อกว้างกี่ไร่ ?
ชาวนา….ผู้เช่านาตัวเองแต่ตกเป็นของคนอื่นตอบว่า…
“สมัยนี้ข้าวราคาดีกว่าสมัยก่อน ผมคงไม่ขุดบ่อให้เสียพื้นที่ปลูกข้าว ทำนา หรอกครับ!”…..ฮา! ฮา! และ ฮา!
โดย “โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ”



