ปรากฏการณ์น้ำท่วมน้ำขังตามถนนหนทาง เรือกสวนไร่นา อาคารบ้านเรือนร้านค้าในชุมชนต่างๆทั่วเมืองไทย เป็นภัยธรรมชาติที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยอมสยบ ไม่ต่อรบไม่หาทางแก้ไข
ปล่อยให้อุทกภัยย่ำยีบีฑาตามรอบเวร ซึ่งเดิมจะมีระยะเวลาอุทกภัยที่แน่นอนคือ ปีนี้ท่วม ปีหน้าจะท่วมซ้ำ แล้วเว้นไป 2 ปีท่วม 4 ปีท่วม 8 ปีท่วม แล้วทิ้งระยะเวลายาวนานถึง 16 ปีจึงท่วมซ้ำแบบสร้างความวินาศสันตะโรเพราะสังคมลืมเลือนโทษภัยของอุทกภัยมาแสนนาน
การจะไว้วางใจว่าพื้นที่ใดในประเทศไทยที่ปลอดภัยจากอุทกภัยจึงต้องสืบย้อนกลับไปถึง 16 ปี แห่งความหลัง 16 ปี ที่ผ่านมา
แต่กาลเวลากับความร้อนของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทุกปี ทำให้รอบเวรของอุทกภัยแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถทำนายสถานการณ์น้ำท่วมได้เหมือนในอดีต
ขึ้นอยู่กับจำนวน “ไต้ฝุ่น” ที่พัดมาถล่มแถวๆเวียดนามแล้วอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน แล้วผ่อนแรงลงมาเป็นดีเปรสชั่น เรียกลมเรียกฝนมาถล่มเมืองไทยจนอ่วมอรไทเสมอมา
เรื่องฝนฟ้าเราห้ามไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องการหลีกเลี่ยงอุทกภัยพอจะหลีกเลี่ยงได้บางระดับ
ถ้ารอบๆชุมชนของเราไม่มีร่องน้ำ ทางน้ำไหลให้น้ำหลากหลีกหรืออ้อมชุมชนไปเราก็ต้องช่วยกันขุดร่องขุดคลองเพื่อรองรับกระแสน้ำที่หลากเต็มทุ่งมุ่งสู่ชุมชน อาคารร้านตลาด ที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ปลูกต่ำๆ ติดพื้นดินโดยไม่ยอมยกพื้นบ้าน พื้นเรือน พื้นร้านให้สูงสัก 1 – 2 เมตรเพื่อให้พ้นระดับน้ำท่วมในเทศกาลประจำปี
ต้องช่วยกันขุดคลองดักน้ำแล้วเบี่ยงเบนผันเปลี่ยนทิศทางให้มวลน้ำไหลอ้อมชุมชนไปให้พ้นชุมชน โดยขุดร่องน้ำ ขุดคูน้ำ ขุดคลอง หรือ ลอกคลองเดิมที่เคยมีอยู่ให้ลึกล้ำต่ำลง มีปริมาตรที่ลึกพอที่จะรับปริมาณน้ำหลากที่มากกว่าปกติอย่างน้อย 2-3 เท่า
แต่เท่าที่ผ่านมาจะไม่เคยมีใครได้ยินพฤติกรรมกิจกรรมหรือปฏิบัติการผลักดันข้าศึกน้ำให้เบี่ยงเบน บิดเบือนกระแสให้แชเชือนเคลื่อนพลออกไปจากชุมชน ถนนหนทางอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญของชุมชน
และเราไม่เคยนำดินจากการขุดคลอง ขุดร่องน้ำขึ้นมาก่อกองดินแล้วตกแต่งให้เป็นเนินดิน เนินเขา เพื่อนำรถราช้างม้าวัวควายย้ายที่จอดที่ขัง คอกโคกระบือ อพยพขึ้นไปหลบหนีน้ำที่ท่วมทุ่งท่วมท่าท่วมชุมชน
อย่าเรียกร้อง หรือพึ่งพาหน่วยงาน องค์การ องค์กรใดๆ ในบ้านเมือง
จงพึ่งพาแรงสมอง สองขา สองลำแข้ง และร้อยพันมือของสมาชิกในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน เขตเทศบาลฯ ช่วยกันเนรมิตและพิชิต…อุทกภัย.



