27.7 C
Nakhon Sawan
วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 16, 2025
spot_img

กฎหมายการโทษประหารชีวิต

กฎหมายการโทษประหารชีวิตนั้น มีขึ้นเพื่อควบคุมการกระทำความผิดที่รุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อให้ประชาชนผู้จะกระทำความผิดมีความเกรงกลัวและไม่กล้ากระทำความผิดนั้น ประกอบเป็นการควบคุมการใช้อำนาจของผู้ปกครองประเทศในสมัยอดีตที่ใช้อำนาจในการประหารชีวิตตามอำเภอใจ จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขและการกระทำความผิดที่สามารถลงโทษประหารชีวิตได้ ไม่เช่นนั้นผู้ใช้อำนาจปกครองในสมัยอดีตจะใช้อำนาจในการลงโทษประหารชีวิตกับประชาชนที่กระทำการบั่นทอนอำนาจของตน

จากประเด็นข่าวไทยรัฐ ประจำวันที่ 5 พ.ย. 2568 พาดหัวข้อข่าว “จีนตัดสินประหาร 5 สมาชิกมาเฟียตระกูล “ไป๋” แก๊งสแกมเมอร์ในเมียนมา ศาลประชาชนกลางในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ตัดสินประหารชีวิต 5 สมาชิกระดับสูงแก๊งมาเฟียตระกูลไป๋ องค์กรอาชญากรรมชื่อฉาวที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ตอนเหนือของเมียนมา เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมมากมาย ทั้งฉ้อโกง ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และทำร้ายร่างกาย นอกจากนั้นยังมีจำเลยคนอื่นถูกตัดสินลงโทษอีกนับสิบคน เม็ดเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการพนันและกิจกรรมฉ้อโกงสูงเกิน 2.9 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.33 แสนล้านบาท”

แสดงให้เห็นว่าศาลจีนจริงจังต่อการคุ้มครองประชาชนทั่วโลก กล้าประหารชีวิตผู้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ไม่เกรงกลัวต่อผู้มีอำนาจเหนือกฎหมายใด ๆ และเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ศาลจีนตัดสินประหารชีวิต นายหาน หย่ง อดีตที่ปรึกษาการเมืองระดับสูง ฐานรับสินบนกว่า 261 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท

เมื่อเปรียบกับประเทศไทยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัติการประหารชีวิตผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองทุจริต ทำให้เห็นว่าการลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทยมีความเกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองทุจริต ใช้อำนาจทางกฎหมายโดยไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองทุจริตเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ในบทความนี้จะอธิบายกฎหมายเกี่ยวกับการลงโทษประหารชีวิต มีสาระสำคัญดังนี้

  1. ประวัติและความเป็นมาเกี่ยวกับการประหารชีวิต การลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทยนั้นเดิมมีหลายวิธีเช่น ใช้มีดทะลวงอวัยวะภายในร่างกาย การตัดคอ การทุบด้วยท่อนจันทร์ และ การยิงเป้า ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความโหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก

โทษประหารชีวิตกับแนวคิดเชิงนิติปรัชญาจากการศึกษาแนวคิดของสำนักกฎหมายทั้ง 2 สำนัก คือ สำนักกฎหมายธรรมชาติ และ สำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง เห็นว่าแนวคิดคานท์ หลักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม (Deontological Ethics หรือ Deontology) จากสำนักกฎหมายธรรมชาติ และเบนแธม ทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) จากสำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง มีที่มาดังนี้ (อุทัย กมลศิลป์ และคณะ: 2562)

การลงโทษประหารชีวิตตามแนวคิดของ อิมมานูเอล คานท์ ค.ศ. 1724-1804 การลงโทษควรเป็นการลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทน เมื่อมีการกระทำผิดกฎหมายจะต้องลงโทษผู้กระทำความผิด เพราะเขาสมควรที่จะได้รับการลงโทษ และการลงโทษจะต้องไม่ใช่เพื่อเป็นการสนับสนุนสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือเป็นผลดีแก่สังคม ตามหลักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม

การลงโทษประหารชีวิตตามแนวคิดของ เจอรามี เบนแธม ค.ศ. 1748 – 1832 ในทรรศนะของเบนแธม กฎหมายตราขึ้นเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของประชาชน และต้องมีความเหมาะสมได้สัดส่วนตามทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าการกระทำที่ดีที่สุด คือการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด อันนำมาซึ่งการกำหนดบทลงโทษตามกฎหมายอาญา รวมถึงโทษประหารชีวิต แม้ว่าลักษณะสำคัญของทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของคานท์ที่ตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดจากการกระทำ

ต่างกับการให้ความสำคัญไปที่การลงโทษเพื่อประโยชน์สุขแก่คนส่วนมากอย่างทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยม แต่ทั้งสองทฤษฎีต่างสนับสนุนการบังคับใช้โทษประหารชีวิตในลักษณะของแต่ละทฤษฎี

แสดงให้เห็นว่าการลงโทษประหารชีวิต ในอดีตเกิดจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำลายหรือลบล้างผู้ปกครองรัฐหรือกษัตริย์ หรือกระทำความผิดข้อกบฏคิดคดทรยศต่อชาติ หรือมีคำสั่งประหารชีวิตโดยผู้ปกครองแผ่นได้ตามความประสงค์ โทษประหารชีวิตจะสร้างความหวาดกลัวต่อผู้อยู่ภายใต้ปกครองที่ต้องยอมปฏิบัติตามทุกประการ ต่อมาโทษประหารชีวิตเป็นเครื่องมือในการยับยั้งการกระทำความผิดร้ายแรง น่าหวาดกลัว หรือเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสังคมหรือประเทศชาติ เพื่อทำให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอยู่อย่างสงบสุข ต่อมาโทษประหารชีวิตได้ถูกยับยั้งโดยหลักสิทธิมนุษยชน การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทำให้หลักทฤษฎีต่างๆ ถูกคัดค้านถ่วงดุลซึ่งกันและกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

  1. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประหารชีวิต แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประหารชีวิต มี 2 ด้าน คือ ฝ่ายสนับสนุน ที่มองว่าการประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่เหมาะสมสำหรับอาชญากรรมร้ายแรง เป็นการแก้แค้นทดแทน และเป็นการข่มขู่ยับยั้งอาชญากรรมได้ดี และ ฝ่ายคัดค้านมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และมีข้อถกเถียงเรื่องประสิทธิภาพในการยับยั้งอาชญากรรม รวมถึงความเสี่ยงต่อความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องคือ ทฤษฎีแก้แค้นทดแทน (Retribution Theory) ซึ่งเน้นการลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ก่อขึ้น และ ทฤษฎีประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ที่มองว่าการลงโทษควรสร้างประโยชน์สุขสูงสุดแก่สังคมโดยรวม ซึ่งอาจมองว่าการประหารชีวิตมีประโยชน์ในการยับยั้งอาชญากรรมในระยะยาว (กิตติศักดิ์ ปรกติ: 2537)

(1) ฝ่ายสนับสนุน ให้เหตุผลว่า หลักการแก้แค้นทดแทน ด้วยการประหารชีวิตเป็นความยุติธรรมที่เหมาะสมและสาสมที่สุดสำหรับอาชญากรรมที่ร้ายแรง เช่น การฆาตกรรม และหลักการข่มขู่ยับยั้ง ด้วยโทษประหารชีวิตถือเป็นเครื่องมือในการป้องปรามมิให้ผู้อื่นคิดจะกระทำความผิดร้ายแรง และหลักตัดโอกาสการก่ออาชญากรรมซ้ำของผู้กระทำผิด และหลักความยุติธรรมต่อเหยื่อ ด้วยการประหารชีวิตเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่มองว่าเป็นการตอบสนองต่อการกระทำที่โหดร้าย และเป็นธรรมต่อเหยื่อผู้บริสุทธิ์ (วันชัย ศรีนวลนัด: 2557)

(2) ฝ่ายคัดค้าน ให้เหตุผลว่า หลักการละเมิดสิทธิมนุษยชน การประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีชีวิต ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหลักประสิทธิภาพในการยับยั้ง การลงโทษประหารชีวิตมีประสิทธิภาพในการป้องปรามอาชญากรรมจริงหรือไม่ เนื่องจากอัตราการฆาตกรรมในรัฐที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตมักต่ำกว่า และหลักความเสี่ยงต่อความผิดพลาด ซึ่งกระบวนการตัดสินคดีอาจมีความผิดพลาดได้ และหากมีการประหารชีวิตไปแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ และหลักขัดกับหลักการแก้ไขฟื้นฟู การลงโทษประหารชีวิตตัดโอกาสที่ผู้กระทำผิดจะกลับใจหรือพัฒนาตนเองเพื่อกลับสู่สังคม ซึ่งขัดกับหลักการลงโทษที่มุ่งเน้นการแก้ไขและฟื้นฟู (อุทัย กมลศิลป์ และคณะ: 2562)

(3) ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือ ทฤษฎีแก้แค้นทดแทน (Retribution Theory) เน้นการลงโทษให้สาสมและเหมาะสมกับความผิดที่ก่อขึ้น โดยถือว่าการลงโทษเป็นสิทธิของผู้กระทำผิดที่ได้ละเมิดสิทธิของผู้อื่นไป และทฤษฎีประโยชน์นิยม (Utilitarianism) การลงโทษควรนำมาซึ่งประโยชน์สุขสูงสุดแก่สังคมโดยรวม การประหารชีวิตอาจถูกมองว่ามีประโยชน์ในการยับยั้งอาชญากรรม แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าการจำคุกตลอดชีวิตก็สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์นี้ได้เช่นกัน (กันต์ฤทัย ฤทธิเกษร และคณะ: 2566)

แสดงให้เห็นว่าการประหารมีทั้งคุณและโทษ การประหารชีวิตจึงยังมีประโยชน์อยู่ในแง่ของการควบคุมหรือยับยั้งการกระทำความผิดร้ายแรง การกระทำความผิดซ้ำๆ การกระทำความผิดที่ยากต่อการปราบปราม หรือการกระทำความผิดต่ออธิปไตยหรือความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะในยุคความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้มีการกระทำความผิดแบบไร้พรมแดน หาตัวผู้กระทำไม่ได้ ยากต่อการปราบปราม และสร้างความเสียหายต่อประชาชนที่สุจริตเป็นจำนวนมาก จนทำให้ภาครัฐหมดปัญญาในการยับยั้งการกระทำความผิดดังกล่าวได้ หรือบางรัฐบาลหันไปให้การสนับสนุนและร่วมรับผลประโยชน์กับผู้กระทำความผิดด้วย

  1. การประหารชีวิตตามกฎหมายระบอบประชาธิปไตย เป็นประเด็นที่อยู่ภายใต้การพิจารณาของ หลักกฎหมาย (Rule of Law) และ หลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights Principles) โดยหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 มุมมอง คือ การคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต และหลักการยกเลิกโทษประหารชีวิต (วันชัย ศรีนวลนัด: 2557)

(1) หลักกฎหมายการคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต ในประเทศประชาธิปไตยที่ยังคงโทษประหารชีวิตไว้ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศไทย หลักกฎหมายมุ่งเน้นที่การยืนยันว่าโทษดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจของรัฐภายใต้กรอบของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตามหลักความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โทษประหารชีวิตถือเป็นมาตรการลงโทษสูงสุดที่กำหนดขึ้นโดยกฎหมายอาญา ที่ผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย โดยรัฐธรรมนูญของบางประเทศยอมรับการคงอยู่ของโทษประหารชีวิตอย่างชัดเจน

หลักกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง (Due Process of Law) การประหารชีวิตจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อผ่าน กระบวนการยุติธรรม (Judicial Process) ที่ยุติธรรมเท่านั้น เช่น การพิจารณาคดีโดยศาลในหลายชั้น สิทธิต่อสู้คดี สิทธิอุทธรณ์/ฎีกา และการใช้มาตรฐานการพิสูจน์ที่เข้มงวดเพื่อลดความผิดพลาดในการตัดสินลงโทษผู้บริสุทธิ์

หลักการตอบสนองต่ออาชญากรรมร้ายแรง (Just Retribution) เชื่อว่าโทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่เป็นธรรมและสมควร สำหรับอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด และเป็นการชดเชยที่ยุติธรรมต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเหยื่อและสังคม (อุทัย กมลศิลป์ และคณะ: 2562)

(2) หลักกฎหมายยกเลิกโทษประหารชีวิต ในประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว เช่น กลุ่มประเทศยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย จะยึดหลักการทางกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคลเหนืออำนาจรัฐ

หลักสิทธิในชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Right to Life and Human Dignity) นี่คือหัวใจสำคัญของข้อโต้แย้งในระบอบประชาธิปไตย โดยถือว่า สิทธิในชีวิต เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สุดที่ไม่อาจละเมิดได้ และรัฐไม่มีสิทธิ์ที่จะพรากชีวิตพลเมือง แม้จะเป็นการลงโทษก็ตาม การประหารชีวิตถูกมองว่าเป็นการลงโทษที่ โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ให้ความเคารพต่อความเป็นมนุษย์

หลักการไม่หวนกลับของความผิดพลาด (Irreversibility Principle) ระบบยุติธรรมมีความผิดพลาดได้เสมอ ในเมื่อโทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่ ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ (Irreversible) การลงโทษผู้บริสุทธิ์แม้เพียงคนเดียวจึงถือเป็นความล้มเหลวที่ยอมรับไม่ได้ตามหลักนิติธรรมในระบอบประชาธิปไตย

หลักการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (International Obligations) ประเทศประชาธิปไตยจำนวนมากเป็นภาคีของ สนธิสัญญาและพิธีสารระหว่างประเทศ ที่สนับสนุนการยกเลิกโทษประหารชีวิต เช่น พิธีสารเลือกรับฉบับที่ 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR-Second Optional Protocol) ที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นหลักกฎหมายที่ชี้นำให้ประเทศที่เป็นภาคีต้องยกเลิกโทษดังกล่าว (วันชัย ศรีนวลนัด: 2557)

แสดงให้เห็นว่าการประหารชีวิตตามกฎหมายระบอบประชาธิปไตย มีการแบ่งออกเป็น 2 ระบอบ มีประเทศที่เห็นว่าการประหารชีวิตยังเป็นการลงโทษที่มีความจำเป็นสำหรับการลงโทษที่เป็นความผิดร้ายแรง และมีบางประเทศที่เห็นว่าการประหารชีวิตควรยกเลิก ด้วยหลักศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การให้โอกาสในการกลับตัว และปัญหาความผิดพลาดในการตัดสินคดี ถือว่าการประหารชีวิตตามกฎหมายระบอบประชาธิปไตยยังคงมีไว้ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดร้ายแรงหรือความผิดปกติของมนุษย์บางประเภท

  1. การประหารชีวิตตามกฎหมายระบบสังคมนิยม ในระบบสังคมนิยม (Socialism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ โทษประหารชีวิตมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ ในการรักษาความมั่นคงของรัฐบาล ความสงบเรียบร้อยทางสังคม และการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองและเศรษฐกิจของพรรค กฎหมายการประหารชีวิตในรัฐสังคมนิยมมีหลักการที่แตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตก โดยเน้นที่การปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของชนชั้นกรรมาชีพและรัฐเป็นหลัก (Zhao: 2011)

หลักการปราบปรามการต่อต้านการปฏิวัติ (Counter-Revolutionary Suppression) ในอดีตโทษประหารชีวิตถูกใช้เพื่อปราบปรามอาชญากรรมต่อรัฐที่ถูกมองว่าเป็นการบ่อนทำลายอำนาจของพรรคและอุดมการณ์สังคมนิยม เช่น การก่อการกบฏ การทรยศต่อชาติ หรือการทำลายเศรษฐกิจของชาติ การประหารชีวิตถูกมองว่าเป็นการกำจัดศัตรูของรัฐและประชาชนอย่างถาวร เพื่อให้สังคมสามารถก้าวไปข้างหน้าตามอุดมการณ์สังคมนิยมได้

หลักการรักษาความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Stability) โทษประหารชีวิตมักขยายครอบคลุมถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง เช่น การทุจริตคอร์รัปชันขนาดใหญ่ การฉ้อโกง การค้าของเถื่อน หรืออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม วัตถุประสงค์คือเพื่อปกป้องทรัพย์สินของรัฐและป้องกันความเสียหายต่อผลประโยชน์สาธารณะ

หลักการยับยั้งและเป็นแบบอย่าง (Deterrence and Exemplary Punishment) กฎหมายในรัฐสังคมนิยมเชื่อมั่นในผลของการยับยั้งโดยโทษประหารชีวิตถูกนำมาใช้เพื่อเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด เพื่อข่มขู่ไม่ให้พลเมืองคนอื่นกระทำความผิดร้ายแรง (Shen Jiaben: 2015)

แสดงให้เห็นว่าการประหารชีวิตตามกฎหมายระบบสังคมนิยม มีมุมมองด้านเดียวคือการคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต เพื่อความมั่นคงของพรรคและอุดมการณ์สังคมนิยม เน้นเรื่อง การก่อการกบฏ การทรยศต่อชาติ หรือการทำลายเศรษฐกิจของชาติ การประหารชีวิตเป็นการกำจัดศัตรูของรัฐและประชาชนอย่างถาวร ในประเทศสังคมนิยมจะไม่ลังเลต่อการประหารชีวิตต่อผู้กระทำความดังกล่าว ทำให้จีนสามารถประหารชีวิตผู้กระทำความผิดรายใหญ่เกี่ยวกับแก๊งสแกมเมอร์ได้อย่างเด็ดขาด ขอเพียงมีหลักฐานยืนยันชัดเจน และจีนประหารชีวิต นายหาน หย่ง อดีตที่ปรึกษาการเมืองระดับสูงความรับผิดฐานรับสินบนได้อย่างเด็ดขาด

  1. กฎหมายการประหารชีวิตในประเทศไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 28 รับรองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย แต่ระบุยกเว้นว่า “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม…จะกระทำมิได้ เว้นแต่การลงโทษตามคำพิพากษาของศาล” ซึ่งเป็นการยืนยันความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของโทษประหารชีวิตตามคำสั่งศาล และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 กำหนดให้โทษประหารชีวิตเป็นโทษทางอาญา 5 สถานโทษ คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน และมาตรา 19 กำหนดว่า “ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย” โดยการเปลี่ยนแปลงในอดีตวิธีการประหารชีวิตคือ เผาไฟ ตอกศีรษะ ถึง พ.ศ. 2396 การตัดคอ ถึง พ.ศ. 2478 และการยิงเป้า ถึง พ.ศ. 2546 การฉีดยาหรือสารพิษให้ตายในปัจจุบัน

ประวัติการลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2478 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกประหารชีวิต 326 คน แบ่งเป็นการประหารด้วยการยิงเป้า 319 คน และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาให้ตาย 7 คน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 นักโทษประหารชีวิตที่มีชื่อเสียงในยุคฉีดยา ได้แก่ (1) บุญลือ นาคประสิทธิ์ พ.ศ. 2546 เป็นนักโทษประหารคนแรกที่ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ โดยมีโทษในคดี ร่วมกันผลิตและครอบครองยาบ้าเพื่อจำหน่าย (2) มิก หลงจิ (ธีรศักดิ์ หลงจิ) พ.ศ. 2561 เป็นนักโทษประหารรายล่าสุดของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน โดยถูกตัดสินในคดี ฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ เขาเป็นบุคคลที่ถูกประหารชีวิตในรอบ 9 ปี นับจากการประหารครั้งก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2552 (3) ผอ.กอล์ฟ (นายประสิทธิชัย เขาแก้ว) พ.ศ. 2566 อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนที่ก่อเหตุ ปล้นร้านทองลพบุรี โดยยิงประชาชนเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน (กรมราชทัณฑ์ สถิตินักโทษประหารชีวิต: 2566)

แสดงให้เห็นว่ากฎหมายการโทษประหารชีวิต มีมุมมองที่แตกต่างกันไป ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เนื่องจากโทษประหารชีวิตเมื่อลงโทษไปแล้วผู้กระทำความผิดไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้อีก ประเทศที่ปกครองระบอบสังคมนิยมจะมีสภาพบังคับการประหารชีวิตแบบเด็ดขาด หากมีหลักฐานและพบการกระทำความผิดที่เป็นภัยต่อชาติหรือผู้ปกครองประเทศ ไม่ว่าผู้กระทำความผิดจะเป็นผู้มีอิทธิพลระดับโลกหรือเป็นนักการเมืองระดับประเทศ ก็สามารถประหารชีวิตได้อย่างเด็ดขาด ส่วนประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย ยังยึดหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทำให้การลงโทษประหารชีวิตต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ สมเหตุสมผล เป็นธรรมมากที่สุด จึงจะลงโทษประหารชีวิตได้ โดยผู้กระทำความผิดจะต้องได้กระทำความผิดร้ายแรงเป็นภัยต่อสังคมอย่างรุนแรง

ส่วนการประหารชีวิตในประเทศไทยยังมีกฎหมายยืนยันว่าสามารถลงโทษประหารชีวิตได้ แต่จากประวัติในช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ไม่มีประวัติการลงโทษประหารชีวิตต่อผู้มีอิทธิพลระดับโลกหรือนักการเมืองระดับประเทศอย่างประเทศจีน ทำให้เห็นว่าการลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทยมีการเลือกปฏิบัติ ไม่เท่าเทียมกันต่อการลงโทษ หรือบังคับใช้กฎหมายด้วยความเกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองทุจริต ทั้ง ๆ ที่ในสังคมปัจจุบันผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองทุจริต เป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ต่อความมั่นคงของประเทศ หรือขายชาติบ้านเมืองจนร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งเป็นความเสียหายให้กับประเทศชาติมากกว่า การกระทำความผิดของ มิก หลงจิ (ธีรศักดิ์ หลงจิ) พ.ศ. 2561 หรือ ผอ.กอล์ฟ (นายประสิทธิชัย เขาแก้ว) พ.ศ. 2566 เป็นร้อยเท่าพันเท่า ซึ่งการบริหารงานยุติธรรมในประเทศไทยควรมีการทบทวนเสียใหม่ สวัสดีครับ

 

ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี

(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)

ติดตามเราที่

149แฟนคลับชอบ
spot_img

ข่าวลาสุด