ผู้อ่านสวรรค์นิวส์และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์…………………………………….. @ กกร. ลุ้น Quick Big Win หนุน ศก. ไทยปีนี้โต 2.2% ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ร่วมในการแถลงผลการประชุม
กกร. คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง
เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด
ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน
คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางในการยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูงและให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อมและสามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
กกร. รับทราบความคืบหน้าโครงการ “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) ยานยนต์ 3) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4) สุขภาพและการแพทย์ 5) ท่องเที่ยว และ 6) ค้าปลีก โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือและโครงการต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติโรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
กกร. มีมติสนับสนุนแนวทางดำเนินงานของภาครัฐในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย พ.ศ. .. เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดระบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการประชาชนได้ทันเวลา พร้อมทั้ง สนับสนุนการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. …. (ร่างฯ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯฉบับใหม่) ให้มีผลใช้บังคับ รวมไปถึง สนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Regulatory Guillotine) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการให้บริการประชาชนไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมาย โดย กกร. จะดำเนินการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
…………………………………… @ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ฯ (CISPI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดยนางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล ประธานสถาบันฯ เข้าหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ โดยมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมต้อนรับและร่วมประชุม ณ ห้องพาณิชย์สัมพันธ์ กระทรวงพาณิชย์
การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวางแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญที่ครอบคลุม ได้แก่
- แผนอัญมณีไทยสู่ยอดส่งออก 1 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี
- การพัฒนาร้านอาหารและสมุนไพรไทย รวมถึงการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายใต้แนวคิด Thai SELECT อย่างยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศ
- โครงการความร่วมมือ CREATIVE IP CENTER
- โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT และ CISPI
- โครงการ MY PRiDE: Characters ไทยแท้
สำหรับการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป สถาบันฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกันพัฒนาและต่อยอดแผนในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสนับสนุนแนวทางการหารือในครั้งนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
การเข้าหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย อันจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
…………………………………… @ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้อนรับคณะผู้บริหารเมืองตงกว่าน กระชับความร่วมมือเศรษฐกิจไทย–จีน นายอนุวัตร เฉลิมไชย รองประธานสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–จีน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นายสมบูรณ์ วาณิชวศิน ผู้อำนวยการฝ่าย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะ ร่วมต้อนรับนายเจิ้ง เจียนเผิง รองนายกเทศมนตรีเมืองตงกว่าน มณฑลกว่างตง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะผู้บริหาร ณ ห้องมงคลสุธี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
การเข้าพบครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์และหารือแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองตงกว่านกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรม และแนวทางการส่งเสริมการใช้ วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ของประเทศไทย
ทั้งนี้ การเยือนประเทศไทยของคณะเมืองตงกว่าน นายเจิ้ง เจียนเผิง เปิดเผยว่านักลงทุนต่างมีความประทับใจต่อสภาพแวดล้อมการลงทุนในไทย และพร้อมขยายความร่วมมือกับภาคธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการไทย–จีน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
…………………………………….. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หารือเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย กระชับความร่วมมือเศรษฐกิจไทย–ซาอุดีอาระเบีย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้อนรับ นายอับดุรเราะห์มาน อับดุลอะซีซ อัลซุฮัยบานี เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย และ Mr. Osama Kokandy ประธานสภาธุรกิจซาอุดีอาระเบีย–ไทย เข้าร่วมในการหารือ ณ ห้องมงคลสุธี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
การหารือครั้งนี้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสภาธุรกิจซาอุดีอาระเบีย–ไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันความร่วมมือในด้านการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมร่วมกัน ซึ่งครอบคลุมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการยกระดับความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive Parts) และนวัตกรรมสมัยใหม่
ฝ่ายซาอุดีอาระเบียได้เน้นย้ำถึงนโยบายเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงการให้สิทธิเทียบเท่านักลงทุนท้องถิ่น เพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในประเทศ โดยยืนยันความพร้อมในการให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทน การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการเชื่อมโยงความร่วมมือภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย
…………………………………… @ จีน คู่ค้าอันดับ 1 ของไทยยาวนานกว่าทศวรรษ จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 13 ปี ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นและการเติบโตของการค้าในทุกมิติ
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย–จีนในปี 2568 (มกราคม–กันยายน) อยู่ที่กว่า 3.62 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.98 ล้านล้านบาท ในปี 2556 คิดเป็นการขยายตัว 82.8% ตลอดช่วง 13 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 330,624 ล้านบาท ในปี 2556 เป็นประมาณ 1.59 ล้านล้านบาท ในปี 2568 (มกราคม–กันยายน) เพิ่มขึ้นกว่า 382% ซึ่งสะท้อนถึงการพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในหลายหมวดสินค้า
ด้านโครงสร้างสินค้า สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
สินค้านำเข้าหลักจากจีนมายังไทย ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์
ไทยมีแนวโน้มส่งออกสินค้าเกษตร วัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ขณะที่จีนส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนถึงความแตกต่างของโครงสร้างการค้าและห่วงโซ่การผลิตระหว่างสองประเทศ
แม้มูลค่าการค้ารวมจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ความไม่สมดุลทางการค้า ระหว่างไทยและจีนยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เพื่อให้การเติบโตของการค้าระหว่างสองประเทศเกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ที่มา กระทรวงพาณิชย์ (ข้อมูล ณ กันยายน 2568) จัดทำโดย สถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–จีน (TCEII)
สายงานการค้าและการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

…………………………………….. @ ไทยเร่งปรับเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 สู่ปี 2050 พร้อมประกาศ NDC 3.0 ทิศทางใหม่ของประเทศไทย เร่งเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ & เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
ประเทศไทยยกระดับมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร้อยละ 47 ภายในปี 2035 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 15 ปี นับเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่เข้มแข็ง และรองรับมาตรฐานสากลในอนาคต
ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับความพร้อมของประเทศในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อ่านเอกสาร NDC 3.0 ฉบับเต็มได้ที่: https://unfccc.int/…/files/2025-11/TH%20NDC%203.0.pdf แหล่งที่มา: กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
…………………………………….. @สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ขอเชิญสมาชิกผู้ประกอบการ SMEs สมัครเข้าร่วมสินเชื่อ “Transition Finance (Phase 1)” สินเชื่อเพื่อการ “เปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ” โดยความร่วมมือระหว่าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย รวมวงเงินกว่า 5,000 ล้านบาท
เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ จัดทำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ ได้รับสิทธิ์กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคาร ได้รับคำปรึกษาและการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ ส.อ.ท. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนพลังงาน
สิ่งที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับเพิ่มเติม คือ ผลประเมิน Baseline Emission / ผลการประเมินความคุ้มค่าการลงทุน / การเสริมศักยภาพองค์กรสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ
สมัครเข้าร่วมโครงการได้แล้ววันนี้! สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ E-Mail: [email protected] | [email protected] โทร. 0-2345-1150, 0-2345-1270 ร่วมสร้าง “อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ” ไปกับ ส.อ.ท. …………………………….. @หน่วยงานที่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครสวรรค์ สามารถฝากข่าวผ่านสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ หรือต้องการสมัครเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อสอบถามได้ที่ นายชาณัฐธนพล แสงสุข ผู้จัดการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์ 056-245497,081-0428 934 โทรสาร 056-245 498 e-mail: [email protected], https://www.facebook.com/Nakhonsawan.fti



