กฎหมายเกี่ยวกับการตายนั้น มีความจำเป็นเมื่อมีคนตายเกิดขึ้นในบ้าน ที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน หรือเมื่อพบคนตาย เราจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งแน่นอนคนส่วนมากหากมิใช่เป็นผู้เกี่ยวกับผู้ตายก็จะเดินหนีหรือพยายามออกจากสถานที่นั้นให้เร็วที่สุด เนื่องจากความหวาดกลัว ภาพของผู้ตายที่ติดตาไปตลอดชีวิต กลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การไปเป็นพยานในศาล การตอบคำถามกับผู้เกี่ยวข้อง หรือหากเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด คดีฆ่า คดีนักการเมือง คดีผู้มีอิทธิพล ก็อาจเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตได้เช่นกัน ทางเลือกของคนส่วนมากก็จะขอไม่เกี่ยวข้องดีกว่า
แต่ถ้าเราไม่มีทางเลือกอย่างกล่าวมาข้างต้น เช่น เป็นญาติของผู้ตาย เป็นเพื่อนกัน เป็นคนรู้จักกัน เป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อมนุษยธรรม หรือไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราจะต้องทำอย่างไร ในบทความนี้จะได้อธิบายเกี่ยวกับกฎหมายการตาย หรือเมื่อพบคนตาย ดังนี้
- การตายตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มี 2 กรณีหลัก คือ การตายตามธรรมชาติ คือการเสียชีวิตจากการหยุดทำงานของอวัยวะสำคัญ และการตายโดยผลของกฎหมาย หรือที่เรียกว่า การสาบสูญ คือหลักเกณฑ์ว่าบุคคลที่หายไปจากภูมิลำเนาและไม่มีใครทราบข่าวเป็นเวลา 5 ปี (หรือ 2 ปีในกรณีพิเศษ เช่น การสงคราม) ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายตามกฎหมาย ดังนี้ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554)
1.1 การตายตามธรรมชาติ คือการเสียชีวิตจากการหยุดทำงานของอวัยวะสำคัญ เป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยธรรมชาติ เมื่อหัวใจและสมองหยุดทำงานอย่างถาวร กฎหมายถือเอาข้อเท็จจริงทางการแพทย์เป็นหลักในการยืนยันการตาย เมื่อบุคคลถึงแก่ความตาย การแจ้งการตายเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องทำเพื่อดำเนินการขอออกใบมรณบัตร สำหรับใช้ในเรื่องสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น มรดก ประกันชีวิต หรือประวัติทะเบียนราษฎร์
1.2 การตายโดยผลของกฎหมาย หรือที่เรียกว่า การสาบสูญ คือ
1) กรณีทั่วไปบุคคลที่หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี
2) กรณีพิเศษระยะเวลา 5 ปีจะลดเหลือ 2 ปี ในกรณีที่บุคคลนั้นได้ไปในการรบหรือสงคราม และการหายไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว
3) การดำเนินการให้ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
4) เมื่อศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายตามกฎหมาย
1.3 การตายฆาตกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288-294 คือความผิดฐานฆ่าคนตาย
1) การตายฆาตกรรม มาตรา 288,
2) การฆ่ามีโทษประหารชีวิต มาตรา 289,
3) การฆ่าคนโดยไม่เจตนา,
4) ความประมาททำให้ผู้อื่นตาย มาตรา 291,
5) การฆ่าด้วยความทารุณโหดร้าย มาตรา 292,
6) การช่วยเหลือผู้อื่นฆ่าตัวตาย มาตรา 293, และ
7) การเสียชีวิตจากการชุลมุนต่อสู้ มาตรา 294
- การแจ้งตายกรณีตายในบ้าน ดังนี้
1) คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือพบศพ
2) คนตายนอกบ้าน ให้คนที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพหรือแห่งท้องที่ ที่จะพึงแจ้งได้ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
3) กรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้ กำหนดเวลาให้แจ้ง ตาม 1) และ 2) ถ้าท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพหากไม่ปฏิบัติตาม 1) และ 2) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2568)
- เอกสารและหลักฐาน ดังนี้
1) บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ผู้แจ้ง)
2) บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ของผู้ตาย ถ้ามี)
3) หนังสือรับรองการตาย ตามแบบ ท.ร.4/1 ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (กรณีตายในสถานพยาบาล)
4) ใบรับแจ้งการตาย ท.ร.4 ตอนหน้า ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (กรณีแจ้งต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน)
5) สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน ท.ร.14 ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ที่ผู้ตายมีชื่ออยู่ ถ้ามี กรณีเป็นคนในท้องที่) (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2568)
- ขั้นตอนการติดต่อ ดังนี้
1) ผู้แจ้งยื่นเอกสารและหลักฐานต่อนายทะเบียน เพื่อตรวจสอบและลงรายการในมรณบัตร
2) จำหน่ายชื่อผู้ตายออกจากทะเบียนบ้าน โดยจะประทับคำว่า “ตาย” สีแดง ไว้หน้ารายการคนตาย
3) มอบมรณบัตร ตอนที่ 1) สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนคืนผู้แจ้ง
4) การแจ้งการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่อื่นหากยังมิได้แจ้งการตาย แต่มีการย้ายศพ ไปอยู่ต่างท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่มีการตายหรือพบศพ เจ้าบ้านของบ้านที่มีการตาย บุคคลที่ไปกับผู้ตายขณะตาย ผู้พบศพหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวแล้วแต่กรณีจะแจ้งการตายต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ณ สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่ศพอยู่ หรือท้องที่ที่มีการจัดการศพโดยการเผา ฝัง หรือทำลายก็ได้ โดยผู้แจ้งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการตายของผู้ตาย ซึ่งออกให้โดยโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่บุคคลนั้นตาย และพยานบุคคลไม่น้อยกว่าสองคน ซึ่งสามารถยืนยันตัวบุคคลของผู้ตายได้
5) ในกรณีไม่มีหนังสือรับรองการตาย ผู้แจ้งการตายอาจใช้ผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจสายพันธุกรรม มีตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการการแจ้งแทนได้ ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2566)
- ความผิดเกี่ยวกับศพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/1-366/4 เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น การปิดบังการตาย การทำลายศพ การอนาจารหรือกระทำชำเราศพ และการดูหมิ่นศพ ดังนี้
1) การกระทำชำเราศพ การล่วงละเมิดทางเพศต่อศพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2) การอนาจารศพ การกระทำที่ไม่เหมาะสมในลักษณะทางเพศต่อศพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3) การปิดบังการตาย การกระทำใด ๆ เพื่อซ่อนเร้นหรือทำลายศพ เพื่อปกปิดสาเหตุการตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4) การทำให้ศพเสียหาย การทำให้ศพ ส่วนของศพ อัฐิ หรือเถ้า เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือทำให้เสื่อมค่า มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5) การดูหมิ่นศพ การแสดงกิริยา วาจา หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศพ เช่น การโพสต์ภาพศพในลักษณะไม่เหมาะสม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2567)
- ข้อควรปฏิบัติเมื่อพบคนตาย ดังนี้
1) สิ่งที่ต้องทำทันทีการตั้งสติ อย่าตกใจและรักษาความสงบ
2) แจ้งเหตุโทร 1669 (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน) หรือ 191 (ตำรวจ) เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
3) ห้ามเคลื่อนย้าย ถ้าเป็นการตายผิดธรรมชาติ ห้ามแตะต้องศพจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาตรวจสอบ เพื่อรักษาสภาพศพและหลักฐาน
4) สถานที่แจ้ง นายทะเบียนท้องที่ (สำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. หรือที่ว่าการอำเภอ) หรือแจ้งตำรวจก็ได้
5) ความสำคัญ การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อให้ได้รับเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อให้สามารถดำเนินการจัดงานศพได้อย่างราบรื่น พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (กระทรวงยติธรรม, 2567)
- การจัดพิธีกรรมทางศาสนาพุทธเกี่ยวกับศพ ดังนี้
1) การเตรียมศพและรดน้ำศพ อาบน้ำและแต่งกายผู้ตาย จากนั้นจัดพิธีรดน้ำศพให้ญาติและแขกผู้มาร่วมไว้อาลัย
2) การมัดตราสัง ห่อศพด้วยผ้าขาว มัดด้วยด้ายสายสิญจน์เป็น 3 หรือ 5 เปลาะ (คอ, มือ, เท้า) เพื่อป้องกันศพพองอืดและเป็นปริศนาธรรม
3) การบรรจุศพ นำศพใส่โลง อาจมีการวางเครื่องบูชาและดอกไม้ พร้อมสวดอภิธรรมก่อนบรรจุจริง
4) พิธีสวดพระอภิธรรม นิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระอภิธรรมที่บ้านหรือวัด อาจมีการเทศน์ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย
5) พิธีฌาปนกิจ (เผาศพ) ทอดผ้าบังสุกุล ประธานในพิธีทอดผ้าไตรบังสุกุลให้พระสงฆ์พิจารณาอุทิศส่วนกุศล
6) เวียนเมรุ นิมนต์พระสงฆ์นำศพเวียนรอบเมรุ 3 รอบ โดยเจ้าภาพถือเครื่องทองน้อย หรือกระถางธูป ตามลำดับ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)
7) วางดอกไม้จันทน์ ญาติและแขกวางดอกไม้จันทน์ที่เมรุเพื่อแสดงความอาลัย
8) พิธีทำบุญเก็บอัฐิ หลังจากเผาเสร็จ จะมีการทำบุญเก็บอัฐิในวันหลัง ๆ 3 วัน 7 วัน 100 วัน วันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ เป็นต้น (MISS MAMON, 2568)
9) คติความเชื่อและมารยาทที่สำคัญ ความสงบเชื่อว่าวิญญาณจะยังอยู่ในร่างหลังเสียชีวิตไปสักระยะ (ประมาณ 4-12 ชั่วโมง) จึงไม่ควรสัมผัสหรือเคลื่อนย้ายร่างทันที
10) การสวด การสวดมนต์และทำบุญอุทิศให้ผู้ตายเชื่อว่าเป็นการช่วยส่งดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น
11) การแต่งกาย ควรแต่งกายด้วยชุดสีเข้ม หลีกเลี่ยงสีแดง (สีแห่งความสุข)
12) การแสดงความเคารพ พนมมือและโค้งคำนับที่แท่นบูชา (พวงหรีดมาลา, 2568)
แสดงให้เห็นเมื่อพบคนตาย หากเราเป็นเจ้าบ้าน เป็นผู้พบศพ เป็นผู้บังคับบัญชา หรือเป็นผู้ต้องเกี่ยวข้องกับผู้ตาย ทำให้เราต้องมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการศพให้เรียบร้อยทั้งทางด้านกฎหมายและศาสนาต่าง ๆ ซึ่งกฎหมายจะบัญญัติขึ้นตามจารีตประเพณีปฏิบัติดั้งเดิม เพื่อประชาชนถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างเดียวกัน และมิให้เกิดการกลั่นแกล้งหรือกระทำไม่ดีต่อศพ
ขอบุญกุศลทั้งหลายจงบังเกิดต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยทั่วกันทุกคน สวัสดีครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)



