24.5 C
Nakhon Sawan
วันพุธ, ธันวาคม 17, 2025
spot_img

กฎหมายเกี่ยวกับการตาย

กฎหมายเกี่ยวกับการตายนั้น มีความจำเป็นเมื่อมีคนตายเกิดขึ้นในบ้าน ที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน หรือเมื่อพบคนตาย เราจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งแน่นอนคนส่วนมากหากมิใช่เป็นผู้เกี่ยวกับผู้ตายก็จะเดินหนีหรือพยายามออกจากสถานที่นั้นให้เร็วที่สุด เนื่องจากความหวาดกลัว ภาพของผู้ตายที่ติดตาไปตลอดชีวิต กลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การไปเป็นพยานในศาล การตอบคำถามกับผู้เกี่ยวข้อง หรือหากเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด คดีฆ่า คดีนักการเมือง คดีผู้มีอิทธิพล ก็อาจเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตได้เช่นกัน ทางเลือกของคนส่วนมากก็จะขอไม่เกี่ยวข้องดีกว่า

แต่ถ้าเราไม่มีทางเลือกอย่างกล่าวมาข้างต้น เช่น เป็นญาติของผู้ตาย เป็นเพื่อนกัน เป็นคนรู้จักกัน เป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อมนุษยธรรม หรือไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราจะต้องทำอย่างไร ในบทความนี้จะได้อธิบายเกี่ยวกับกฎหมายการตาย หรือเมื่อพบคนตาย ดังนี้

  1. การตายตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มี 2 กรณีหลัก คือ การตายตามธรรมชาติ คือการเสียชีวิตจากการหยุดทำงานของอวัยวะสำคัญ และการตายโดยผลของกฎหมาย หรือที่เรียกว่า การสาบสูญ คือหลักเกณฑ์ว่าบุคคลที่หายไปจากภูมิลำเนาและไม่มีใครทราบข่าวเป็นเวลา 5 ปี (หรือ 2 ปีในกรณีพิเศษ เช่น การสงคราม) ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายตามกฎหมาย ดังนี้ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554)

1.1 การตายตามธรรมชาติ คือการเสียชีวิตจากการหยุดทำงานของอวัยวะสำคัญ เป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยธรรมชาติ เมื่อหัวใจและสมองหยุดทำงานอย่างถาวร กฎหมายถือเอาข้อเท็จจริงทางการแพทย์เป็นหลักในการยืนยันการตาย เมื่อบุคคลถึงแก่ความตาย การแจ้งการตายเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องทำเพื่อดำเนินการขอออกใบมรณบัตร สำหรับใช้ในเรื่องสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น มรดก ประกันชีวิต หรือประวัติทะเบียนราษฎร์

1.2 การตายโดยผลของกฎหมาย หรือที่เรียกว่า การสาบสูญ คือ

1) กรณีทั่วไปบุคคลที่หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี

2) กรณีพิเศษระยะเวลา 5 ปีจะลดเหลือ 2 ปี ในกรณีที่บุคคลนั้นได้ไปในการรบหรือสงคราม และการหายไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

3) การดำเนินการให้ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

4) เมื่อศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายตามกฎหมาย

1.3 การตายฆาตกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288-294 คือความผิดฐานฆ่าคนตาย

1) การตายฆาตกรรม มาตรา 288,

2) การฆ่ามีโทษประหารชีวิต มาตรา 289,

3) การฆ่าคนโดยไม่เจตนา,

4) ความประมาททำให้ผู้อื่นตาย มาตรา 291,

5) การฆ่าด้วยความทารุณโหดร้าย มาตรา 292,

6) การช่วยเหลือผู้อื่นฆ่าตัวตาย มาตรา 293, และ

7) การเสียชีวิตจากการชุลมุนต่อสู้ มาตรา 294

  1. การแจ้งตายกรณีตายในบ้าน ดังนี้

1) คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือพบศพ

2) คนตายนอกบ้าน ให้คนที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพหรือแห่งท้องที่ ที่จะพึงแจ้งได้ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ

3) กรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้ กำหนดเวลาให้แจ้ง ตาม 1) และ 2) ถ้าท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพหากไม่ปฏิบัติตาม 1) และ 2) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2568)

  1. เอกสารและหลักฐาน ดังนี้

1) บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ผู้แจ้ง)

2) บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ของผู้ตาย ถ้ามี)

3) หนังสือรับรองการตาย ตามแบบ ท.ร.4/1 ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (กรณีตายในสถานพยาบาล)

4) ใบรับแจ้งการตาย ท.ร.4 ตอนหน้า ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (กรณีแจ้งต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน)

5) สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน ท.ร.14 ฉบับจริง 1 ฉบับ หมายเหตุ (ที่ผู้ตายมีชื่ออยู่ ถ้ามี กรณีเป็นคนในท้องที่) (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2568)

  1. ขั้นตอนการติดต่อ ดังนี้

1) ผู้แจ้งยื่นเอกสารและหลักฐานต่อนายทะเบียน เพื่อตรวจสอบและลงรายการในมรณบัตร

2) จำหน่ายชื่อผู้ตายออกจากทะเบียนบ้าน โดยจะประทับคำว่า “ตาย” สีแดง ไว้หน้ารายการคนตาย

3) มอบมรณบัตร ตอนที่ 1) สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนคืนผู้แจ้ง

4) การแจ้งการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่อื่นหากยังมิได้แจ้งการตาย แต่มีการย้ายศพ ไปอยู่ต่างท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่มีการตายหรือพบศพ เจ้าบ้านของบ้านที่มีการตาย บุคคลที่ไปกับผู้ตายขณะตาย ผู้พบศพหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวแล้วแต่กรณีจะแจ้งการตายต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ณ สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่ศพอยู่ หรือท้องที่ที่มีการจัดการศพโดยการเผา ฝัง หรือทำลายก็ได้ โดยผู้แจ้งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการตายของผู้ตาย ซึ่งออกให้โดยโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่บุคคลนั้นตาย และพยานบุคคลไม่น้อยกว่าสองคน ซึ่งสามารถยืนยันตัวบุคคลของผู้ตายได้

5) ในกรณีไม่มีหนังสือรับรองการตาย ผู้แจ้งการตายอาจใช้ผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจสายพันธุกรรม มีตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการการแจ้งแทนได้ ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2566)

  1. ความผิดเกี่ยวกับศพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/1-366/4 เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น การปิดบังการตาย การทำลายศพ การอนาจารหรือกระทำชำเราศพ และการดูหมิ่นศพ ดังนี้

1) การกระทำชำเราศพ การล่วงละเมิดทางเพศต่อศพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2) การอนาจารศพ การกระทำที่ไม่เหมาะสมในลักษณะทางเพศต่อศพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3) การปิดบังการตาย การกระทำใด ๆ เพื่อซ่อนเร้นหรือทำลายศพ เพื่อปกปิดสาเหตุการตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4) การทำให้ศพเสียหาย การทำให้ศพ ส่วนของศพ อัฐิ หรือเถ้า เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือทำให้เสื่อมค่า มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5) การดูหมิ่นศพ การแสดงกิริยา วาจา หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศพ เช่น การโพสต์ภาพศพในลักษณะไม่เหมาะสม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2567)

  1. ข้อควรปฏิบัติเมื่อพบคนตาย ดังนี้

1) สิ่งที่ต้องทำทันทีการตั้งสติ อย่าตกใจและรักษาความสงบ

2) แจ้งเหตุโทร 1669 (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน) หรือ 191 (ตำรวจ) เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

3) ห้ามเคลื่อนย้าย ถ้าเป็นการตายผิดธรรมชาติ ห้ามแตะต้องศพจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาตรวจสอบ เพื่อรักษาสภาพศพและหลักฐาน

4) สถานที่แจ้ง นายทะเบียนท้องที่ (สำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. หรือที่ว่าการอำเภอ) หรือแจ้งตำรวจก็ได้

5) ความสำคัญ การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อให้ได้รับเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อให้สามารถดำเนินการจัดงานศพได้อย่างราบรื่น พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (กระทรวงยติธรรม, 2567)

  1. การจัดพิธีกรรมทางศาสนาพุทธเกี่ยวกับศพ ดังนี้

1) การเตรียมศพและรดน้ำศพ อาบน้ำและแต่งกายผู้ตาย จากนั้นจัดพิธีรดน้ำศพให้ญาติและแขกผู้มาร่วมไว้อาลัย

2) การมัดตราสัง ห่อศพด้วยผ้าขาว มัดด้วยด้ายสายสิญจน์เป็น 3 หรือ 5 เปลาะ (คอ, มือ, เท้า) เพื่อป้องกันศพพองอืดและเป็นปริศนาธรรม

3) การบรรจุศพ นำศพใส่โลง อาจมีการวางเครื่องบูชาและดอกไม้ พร้อมสวดอภิธรรมก่อนบรรจุจริง

4) พิธีสวดพระอภิธรรม นิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระอภิธรรมที่บ้านหรือวัด อาจมีการเทศน์ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย

5) พิธีฌาปนกิจ (เผาศพ) ทอดผ้าบังสุกุล ประธานในพิธีทอดผ้าไตรบังสุกุลให้พระสงฆ์พิจารณาอุทิศส่วนกุศล

6) เวียนเมรุ นิมนต์พระสงฆ์นำศพเวียนรอบเมรุ 3 รอบ โดยเจ้าภาพถือเครื่องทองน้อย หรือกระถางธูป ตามลำดับ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)

7) วางดอกไม้จันทน์ ญาติและแขกวางดอกไม้จันทน์ที่เมรุเพื่อแสดงความอาลัย

8) พิธีทำบุญเก็บอัฐิ หลังจากเผาเสร็จ จะมีการทำบุญเก็บอัฐิในวันหลัง ๆ 3 วัน 7 วัน 100 วัน วันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ เป็นต้น (MISS MAMON, 2568)

9) คติความเชื่อและมารยาทที่สำคัญ ความสงบเชื่อว่าวิญญาณจะยังอยู่ในร่างหลังเสียชีวิตไปสักระยะ (ประมาณ 4-12 ชั่วโมง) จึงไม่ควรสัมผัสหรือเคลื่อนย้ายร่างทันที

10) การสวด การสวดมนต์และทำบุญอุทิศให้ผู้ตายเชื่อว่าเป็นการช่วยส่งดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น

11) การแต่งกาย ควรแต่งกายด้วยชุดสีเข้ม หลีกเลี่ยงสีแดง (สีแห่งความสุข)

12) การแสดงความเคารพ พนมมือและโค้งคำนับที่แท่นบูชา (พวงหรีดมาลา, 2568)

แสดงให้เห็นเมื่อพบคนตาย หากเราเป็นเจ้าบ้าน เป็นผู้พบศพ เป็นผู้บังคับบัญชา หรือเป็นผู้ต้องเกี่ยวข้องกับผู้ตาย ทำให้เราต้องมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการศพให้เรียบร้อยทั้งทางด้านกฎหมายและศาสนาต่าง ๆ ซึ่งกฎหมายจะบัญญัติขึ้นตามจารีตประเพณีปฏิบัติดั้งเดิม เพื่อประชาชนถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างเดียวกัน และมิให้เกิดการกลั่นแกล้งหรือกระทำไม่ดีต่อศพ

ขอบุญกุศลทั้งหลายจงบังเกิดต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยทั่วกันทุกคน สวัสดีครับ

 

ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี

(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)

ติดตามเราที่

149แฟนคลับชอบ
spot_img

ข่าวลาสุด