กฎหมายเกี่ยวกับการบุกรุกอธิปไตยนั้น เกิดจากการที่ประชาชน กลุ่มบุคคล นิติบุคคล กองกำลังทหาร หรือโดยรัฐบาลของประเทศหนึ่ง ได้กระทำการบุกรุกเข้าไปในดินแดนหรืออธิปไตยของอีกประเทศหนึ่ง อาจกระทำโดยเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ตาม หรืออาจบุกรุกเข้ามาชั่วคราวหรือเข้ามาแบบถาวรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ถูกบุกรุกไม่เอาใจใส่ในดินแดนของตน ปล่อยปละละเลย หรือละเว้นต่อการปฏิบัติหน้า ไม่ดำเนินการแจ้งปัญหาให้กับรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงของประเทศให้แก้ไขปัญหาการบุกรุกอธิปไตย หรือดำเนินการแจ้งปัญหาไปยังรัฐบาลแล้วแต่รัฐบาลเพิกเฉยไม่แก้ปัญหาให้กับประชาชนหรือประเทศชาติ หรือแจ้งปัญหาไปยังรัฐบาลแต่เป็นชุดรัฐบาลที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในการส่งสินค้าผิดกฎหมายข้ามแดนหรือผลประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจนายทุนระหว่างประเทศ
การปล่อยปละเลยเหล่านี้เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับพื้นที่จนไปถึงระดับรัฐมนตรี หากเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่มีการแจ้งปัญหาการบุกรุกดินแดนหรืออธิปไตยไปยังเจ้าหน้าระดับสูงขึ้นไปตามลำดับแล้ว ควรมีการลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่จนไปถึงระดับรัฐบาล หากสืบได้ว่ามีเจตนาปล่อยปละเลยละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่และควรมีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับประชาชนที่ไม่สามารถใช้ที่ดินในการทำกินได้ตามปกติหรือค่าเสียหายอื่นๆ ด้วย หากการบุกรุกนั้นเกิดจากการกระทำของประชาชนหรือของเอกชนทั่วไป
แต่ถ้าเป็นการบุกรุกโดยการใช้กองกำลังทหารในลักษณะนี้ก็เป็นเรื่องของกองกำลังทหารของประเทศที่ถูกบุกรุกจะไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่
จากการกรณีปัญหาการบุกรุกดินแดนประเทศไทยที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และพื้นที่อื่น ๆ ที่ประชาชนกัมพูชาเข้ามาบุกรุกทำกินในดินแดนของประเทศไทยเป็นเวลานานหลายสิบปี จนถึงปัจจุบันมีทหารกัมพูชาเข้ามาควบคุมพื้นที่บุกรุกดังกล่าวหลายพื้นที่ด้วยกัน จนเป็นเหตุให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินได้รับความเสียหาย ซึ่งได้เสียภาษีที่ดินมาโดยตลอดแต่ไม่สามารถเข้าทำกินได้ตามปกติ เนื่องจากมีประชาชนและทหารของกัมพูชาเข้าทำกินและควบคุมพื้นที่ดังกล่าวอยู่ จากข้อเท็จจริงมีประชาชนจำนวนมากได้ทำหนังสือแจ้งปัญหาความเดือดร้อนไปให้เจ้าหน้าที่ระดับพื้นหรือหน่วยงานภาครัฐได้ทราบแล้ว แต่เพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ ปล่อยปละเลยมาหลายสิบปี ประกอบกับรัฐบาลก็ไม่ดำเนินการใด ๆ เช่นกัน ดังนั้นบทความนี้ได้อธิบายเกี่ยวกับกฎหมายการรักษาดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศ และกฎหมายเกี่ยวกับความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกดินแดนหรืออธิปไตย ดังนี้
- หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ให้อำนาจรัฐในการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของตนที่จะใช้อำนาจในการออกกฎหมายใช้บังคับกับบุคคล ทรัพย์สิน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนของตนได้ โดยไม่จำกัดว่าบุคคลนั้นจะมีสัญชาติของรัฐใด หรือไม่จำกัดว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นคนของชาติตนหรือไม่
ดังนั้นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในรัฐใดย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของรัฐนั้นๆ ด้วย และต้องรับผิดเมื่อมีการกระทำความผิดที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐที่ตนเข้าไปอยู่เกิดขึ้น รวมถึงกรณีมีการกระทำความผิดทางอาญาที่เริ่มขึ้นในรัฐของตนเอง แต่ไปสิ้นสุดในรัฐอื่น และกรณีมีการกระทำความผิดอาญาที่เริ่มต้นที่รัฐอื่นแต่สิ้นสุดที่รัฐของตนเองด้วย (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย International Relations Law)
แสดงให้เห็นว่ากฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้อำนาจแก่รัฐในการดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยและอธิปไตยในประเทศของตน หากมีชาวต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายไทย อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับพื้นที่จนไปถึงรัฐมนตรีมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ หากปล่อยปละละเลยละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ไว้เนิ่นนานไป ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับเขาพระวิหารเป็นกฎหมายปิดปากที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานรัฐปล่อยปละละเลยละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่จนเหมือนประหนึ่งว่ายินยอม
- ประมวลกฎหมายอาญา การกระทำที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐ ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 เช่น การกระทำให้ราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนการบุกรุกในความหมายทั่วไป เช่น การบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น จะมีบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 8 ว่าด้วยความผิดฐานบุกรุก ตามมาตรา 362-366) ซึ่งเป็นความผิดที่แตกต่างออกไป
มาตรา 119 “ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต” เป็นการกระทำที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร
คำว่า “บุกรุกอธิปไตย” โดยทั่วไปหมายถึงการกระทำที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ ซึ่งมีบทลงโทษที่ร้ายแรงที่สุดตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ทำให้เสียดินแดนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มีหน้าที่แล้วละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้เสียดินแดน กรณีบ้านหนองจานหรือบ้านหนองหญ้าแก้วอาจมีเจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องต่อการเพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ ตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ดินแดนของไทยตกอยู่ในอำนาจของรัฐอื่น
มาตรา 362 “การเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อยึดถือครอบครอง หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข”
มาตรา 363 “การย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตอสังหาริมทรัพย์เพื่อเอาที่ดินนั้นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม”
มาตรา 364 “การเข้าไปในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์ หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น โดยไม่มีเหตุอันควร”
มาตรา 365 “การกระทำความผิดตามมาตรา 362-364 โดยมีกำลังประทุษร้าย ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือมีอาวุธ หรือร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป”
แสดงให้เห็นว่าเป็นการบุกรุกอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดิน ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 8 ความผิดฐานบุกรุก มาตรา 362-366 ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของที่ดิน จะต้องดำเนินการร้องทุกข์แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตพื้นที่อาศัยอำนาจศาลในการลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด
- พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามในการเข้าเมือง การเข้าออกราชอาณาจักร และการอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว นอกจากนี้ยังมีกฎหมายและประกาศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการกำหนดสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และ พระราชบัญญัติการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สำหรับการทำงานของชาวต่างด้าวในประเทศไทย
คนต่างด้าวเข้าเมืองมี 3 ลักษณะคือ
(1) คนต่างด้าวเข้าเมืองถูกกฎหมาย คือ คนต่างด้าวที่มีเอกสารประจำตัวที่ถูกต้อง เช่น หนังสือเดินทาง และมีการตรวจลงตรา (วีซ่า) จากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย พร้อมได้รับอนุญาตให้พำนักในราชอาณาจักรตามกำหนดจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
(2) คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย (หลบหนีเข้าเมือง) คือ คนต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารประจำตัว หรือไม่มีวีซ่า หรือลักลอบทำงาน หรือเข้ามาโดยไม่มีการอนุญาตตามกฎหมาย
(3) ลักษณะต้องห้ามในการเข้าประเทศ มาตรา 12 เช่น ไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีวีซ่า ไม่มีปัจจัยยังชีพ มีโรคติดต่อร้ายแรง เป็นภัยต่อสังคม หรือเคยถูกเนรเทศ เป็นต้น
- พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 โดยห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุก แผ้วถาง หรือกระทำการอันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต มีบทลงโทษทั้งจำคุกและปรับ ซึ่งอัตราโทษจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะความผิด เช่น การบุกรุกในป่าสงวนแห่งชาติอาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับ 5,000-50,000 บาท หรือหากเป็นความผิดในพื้นที่เกิน 25 ไร่ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้หวงห้าม ก็จะมีโทษสูงขึ้นเป็นจำคุก 4-20 ปี และปรับ 200,000-2,000,000 บาท
ความผิดตามกฎหมายป่าไม้ คือ การทำลายป่า การแผ้วถาง เผาป่า หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้ป่าเสียหาย ตามมาตรา 54 หรือการเข้ายึดถือครอบครองป่า การเข้าไปอยู่อาศัย ทำประโยชน์ หรือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 14-18
- พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เป็นกฎหมายที่จัดระเบียบและควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย เพื่อให้เป็นระบบและปลอดภัยขึ้น กฎหมายนี้กำหนดให้คนต่างด้าวต้องมีใบอนุญาตทำงานและทำงานตามสิทธิที่ได้รับเท่านั้น หากฝ่าฝืนทั้งคนต่างด้าวและนายจ้างจะมีโทษปรับและมีโทษทางอาญาอื่น ๆ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเพื่อกำหนดนโยบายและกำกับดูแล
บทลงโทษเมื่อฝ่าฝืน คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่ทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ทำงานนอกเหนือจากที่กำหนดในใบอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท และนายจ้างรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือรับคนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตแต่ให้ทำงานที่ห้ามทำ มีโทษปรับตั้งแต่ 400,000 – 800,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน ยึดใบอนุญาตทำงานหรือเอกสารประจำตัวของคนต่างด้าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 900,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แสดงให้เห็นว่ากฎหมายเกี่ยวกับการบุกรุกอธิปไตยนั้นมีหลายฉบับด้วยกันที่จะดำเนินการตามกฎหมายและนำตัวผู้บุกรุกดินแดนประเทศมาลงโทษได้ แต่ทำไมกรณีบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว หรือพื้นที่อื่น ๆ ที่พบเห็นเป็นจำนวนมาก กลับไม่มีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐดำเนินการใด ๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดูแลหรือรักษาดินแดนเรียบร้อยดี ปล่อยปะละเลยมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนถึงปัจจุบัน จนเห็นเหตุให้รัฐอื่นเข้าใจได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานรัฐ หรือรัฐบาลยินยอมต่อการกระทำอันเป็นการบุกรุกดินแดนหรืออธิปไตยของชาวกัมพูชาหรือไม่ ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันกับกรณีเขาพระวิหาร ดังนั้นปัญหาบุกรุกดินแดนไทยในปัจจุบันนี้ หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการใด ๆ เพียงแต่เจรจาให้สงบและยินยอมให้อยู่อาศัยหรือทำกินกันต่อไป หรือจะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า หรือเปลี่ยนเป็นพื้นร่วมกันพัฒนากัน ฯลฯ เท่ากับว่ายอมรับกระทำอันเป็นการบุกรุกดินแดนหรืออธิปไตยของชาวกัมพูชาว่าชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลจะต้องใช้กองกำลังทหารดำเนินการให้เด็ดขาดหรือดำเนินคดีตามกฎหมายให้ชัดเจน อันเป็นการรักษาอธิปไตยของไทย ส่วนไหนที่เป็นยึดแผนที่กันคนละฉบับก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องการแบ่งปันเขตแดนต่อไป สวัสดีครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
(ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต)